(ไตรมาส 4/2567- ไตรมาส 3-2568) ช่วยฉุดเศรษฐกิจออกจากหลุมดำ และต่อยอดด้วยการสร้างทุนใหม่ๆในชุมชนทั่วประเทศ
SATURDAY ANALYSIS By Dr.Kitti Limsakul

"ผมในฐานะนักเศรษฐศาสตร์มหภาค เป็นผู้เชี่ยวชาญในการประมาณการผลกระทบจากการดำเนินการด้วยนโยบายการคลัง ในที่นี้ คือ การทำการโอนงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแบบทั่วหน้า เรียกย่อๆ ว่า
โครงการกระเป๋าตังดิจิทัล ให้กับประชาชนผู้มีสิทธิตามที่ รัฐบาลกำหนด
ขอยืนยันด้วยหลักวิชาชีพว่า โครงการนี้ จะส่งผลกระทบต่อ การขยายตัวของการบริโภคของครัวเรือนเอกชน ในเริ่มแรก (Private households’ consumption expenditure) และจะส่งผลต่อเนื่องต่อผู้ประกอบการร้านค้าขนาดเล็ก-กลางใหญ่ ในพื้นที่ ที่ รัฐบาลกำหนด
ในเบื้องต้น คือ อำเภอของผู้รับประโยชน์ และ จะเกิดการใช้จ่ายทางตรง-ทางอ้อม ต่อเนื่องไปยังร้านค้า ขนาดต่างๆ ในทุกท้องถิ่น มากน้อยตามความสัมพันธ์ ทางการค้า (Area-wide repercussion impact)
สำหรับโครงการกระเป๋าตังดิจิทัลจะ ส่งเสริมให้ ประชาชน รวมตัวกัน ในระดับต่างๆเพื่อร่วมลงทุนในการซื้อวัสดุอุปกรณ์เพื่อการประกอบธุรกิจ ค้าขาย และ การผลิต ฯ ทั้งในภาค ชนบท เกษตร และ ชุมชนเมือง ตามที่รัฐบาลมุ่งหวัง
เงินทุนดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของ จำนวนที่รัฐบาลส่งมอบ 10,000 บาท หากไม่พอ ประชาชน อาจรวมตัว เป็น วิสาหกิจชุมชน อาจรวมตัว ร่วมลงทุน และ ทำการระดมทุน จากสถาบันการเงินต่อไป หากโครงการมีความเป็นไปได้ เชิงธุรกิจ (หน้าที่ของธนาคารตามปรกติ) ส่วนนี้ คือการสะสมทุนที่เกิดจาก โครงการกระเป๋าตังฯ ดิจิทัล และ ยังคงอยู่ เป็นสินค้าคงทน สำหรับธุระกิจ ของวิสาหกิจชุมชน ต่อไป (Capitalization at the grass root)
โดยผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ระดับรากหญ้าและชุมชนเมือง จะส่งผลต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อในระดับ อำเภอเป็นเริ่มแรก และ ระหว่างอำเภอต่อไป เนื่องจาก เงินดิจิทัล มีค่าเทียบเท่าเงินสด และสามารถหมุนเวียนได้ตามปรกติ สามารถแลกสินค้าในรอบแรก กับร้านค้า ใน เวลา และ อำเภอ ถิ่นที่อยู่ที่
เป็น การหมุนเวียน ของ เงินดิจิทัล ระหว่าง ครัวเรือน ผู้รับประโยชน์-ร้านค้า ที่ลงทะเบียน ตามประกาศของรัฐบาล ที่รับ เงินดิจิทัล อย่างแพร่หลาย ทุก พื้นที่
สำหรับร้านค้า ที่ต้องการแลกเงินดิจิทัลเป็นเงินสด ก็สามารถนำไปเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ ณ สถาบันการเงินที่กำหนด ในเวลา ที่รัฐบาลกำหนดต่อไป (สิทธิ เกินกว่า หนึ่งปี) แต่หากร้านค้า เล็ก-กลาง-ใหญ่ และ ผู้ผลิต ยอมรับการใช้ เงินดิจิทัลเพื่อการหมุนเวียนอย่างทั่วถึง(สมัครใจ) จะทำให้ เศรษฐกิจ การค้า การผลิต การจ้างงาน และ การบริโภค การลงทุน ฯลฯ และ รายรับภาษี ทางตรง-อ้อม ขยายตัวตามยอดการหมุนเวียนทางการค้า
(อนึ่ง ในขบวนการผลิต รายได้ จากการผลิต จะ จัดสรร ให้ลูกจ้างเป็นค่าจ้าง และ สะสมกำไรในรูปเงินสด ปรกติ ตามระบบ)
การหมุนเวียนของ เงินดิจิทัล ในระบบเศรษฐกิจ จะทำให้ การโอนสิทธิ ดิจิทัลระหว่าง ผู้บริโภค ตลาด และ ผู้ผลิต เกิด ผลกระทบ ในวงกว้าง ก่อเกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในระดับฐานราก และชุมชนเมือง และ ในระดับประเทศ
สำหรับที่มาของ งบประมาณ ในโครงการ และ การจัดการ ระบบงบประมาณ มิได้ ก่อให้เกิด หนี้สาธารณะ เกินกว่ากรอบวินัยทางการเงินการคลังมี่ กฎหมายกำหนด ร้อยละ 70 ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
ทั้งนี้ ในการประมาณการของผม สัดส่วนของ ภาระหนี้ ต่อ จีดีพี (GDP ณ ราคา ปัจจุบัน) ลดลง เนื่องจาก รัฐบาลสามารถ เก็บรายได้เพิ่ม และนำมาหมุนเวียน ตามขั้นตอนในการบริหารหนี้สาธารณะ ในขณะ ที่ ขนาดของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ ขยายตัวเพิ่มขึ้น ตาม แรงส่งของนโยยาย กระเป๋าตังดิจิทัลร่วมกับนโยบายอื่น ๆ ของรัฐบาล ส่งผลให้ ภาระหนี้ สาธารณะ อยู่ในกรอบของ วินัยการเงิน-การคลังได้ แน่นอน
ในเบื้องต้น หากไม่มีโครงการโอนเงินดิจิทัลให้ ประชาชน ตลาดคาดการณ์ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP วัดในราคาคงที่ เพื่อไม่นับรวม ผลของเงินเฟ้อ) จะเท่ากับ ร้อยละ 2.5 ในปี 2567
แต่หาก มีนโยบาย กระเป๋าเงินดิจิทัล สมการการเติบโต (Growth accounting) เป็นดังนี้
-ตัวแบบ การเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย ไตรมาส Q4/2567 Q1/2568 Q2/2568 วัด ในหน่วยปี ปฏิทิน อัตราเติบโต ที่พยากรณ์ 4.3 % ต่อปี = 2.5% (ไม่มี DGW)
+ 1.5% (สามไตรมาส รวมกัน เทียบ ปีต่อปี )มาจาก การเติบโตของ ทุน และ แรงงาน (ถ่วงน้ำหนักด้วย สัดส่วนของรายได้ ของทุน และ แรงงาน)
+ 0.3% จากการเติบโตด้านเทคโนโลยี (Total factor productivity ผลิตภาพมวลรวม เทียบปีต่อปี )
ทั้งนี้ เป็นการประเมิน เฉพาะ การมี กระเป๋าดิจิทัล เท่านั้น
โดยสรุป กระผมขอยืนยันว่าโครงการกระเป๋าตังดิจิทัลมีความจำเป็นที่จะ ต้องดำเนินการ เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจไทยทั้งประเทศ ให้ออกจากกับดักของการตกต่ำทางเศรษฐกิจที่กำลังเป็นอยู่ และกำลังมีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ภายในประเทศ
โดยเรียกร้องให้ มีการแสวงหา ความ ร่วมมือระหว่างนโยบายการคลัง และ นโยบายการเงิน อย่างเป็นระบบและ เป็น รูปธรรม ให้ มีความเข้าใจร่วมกันว่าความร่วมมือระหว่างนโยบายทั้งสองเท่านั้น จะสามารถนำ เศรษฐกิจไทยออกจากวิกฤติ ได้ ในปี 2567 และ สามารถขยายตัวเข้าสู่แนวโน้ม ปรกติในปี 2568
สำหรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ จะเป็นการร่วมมือหลังจากนี้ ต่อไป”
รองศาสตราจารย์ ดร. กิตติ ลิ่มสกุล กรรมาธิการที่ปรึกษา ในคณะกรรมธิการ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567
Comments