"เผยสถิติปี 2563 หมวกกันน็อคมาแรง คือ กลุ่มบุคคลที่ปล่อยเงินกู้โดยแจกใบปลิว นามบัตร หรือติดอยู่ตามเสาไฟฟ้า แล้วมาเก็บเงินจากลูกหนี้เป็นประจำทุกวัน ปี2564 ดอกเบี้ยโหดมาแรงและมีแนวโน้มลดลงในปี 65 อันมีผลมาจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ปี2565 ปล่อยกู้ออนไลน์ ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียทุกประเภท เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ แอปพลิเคชั่น และเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งค่อนข้างได้รับความนิยมในขณะนี้ โดยหากลูกหนี้ไม่จ่ายเงินก็จะประจานผ่านสื่อออนไลน์"

พลตำรวจโท ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กล่าวถึง การแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน โดยจากผลการศึกษาในปัจจุบันพบว่าสามารถจำแนกประเภทหนี้นอกระบบ เป็น 7 ประเภท ได้แก่
1. หมวกกันน็อค คือ กลุ่มบุคคลที่ปล่อยเงินกู้โดยแจกใบปลิว นามบัตร หรือติดอยู่ตามเสาไฟฟ้า แล้วมาเก็บเงินจากลูกหนี้เป็นประจำทุกวัน โดยอาจจะใช้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ ซึ่งส่วนใหญ่ลูกหนี้จะเป็นพ่อค้า แม่ค้า ตามแผงในตลาดหรือร้านอาหารตามสั่ง แหล่งชุมชนหรือย่านเศรษฐกิจที่เข้าถึงได้ง่าย
2. ดอกเบี้ยเกินอัตรา คือ ตกลงกู้ยืมเงินระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้โดยทำสัญญากู้ยืมเงิน แต่ดอกเบี้ยเกินอัตรากว่าที่กฎหมายกำหนด กำหนดเวลาการชำระส่วนใหญ่จะเป็นรายเดือน
3. กู้ออนไลน์ ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียทุกประเภท เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ แอปพลิเคชั่น และเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งค่อนข้างได้รับความนิยมในขณะนี้ โดยหากลูกหนี้ไม่จ่ายเงินก็จะประจานผ่านสื่อออนไลน์
4. จำนำรถ ด้วยการทำสัญญากู้เงินโดยลูกหนี้ต้องนำรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ไปจอดไว้กับเจ้าหนี้ไว้เป็นหลักประกัน
5. ขายฝากที่ดิน ลูกหนี้นำที่ดินมาขายฝากตามกฎหมายแต่สัญญาไม่เป็นธรรม และสุดท้ายจะยึดที่ดิน
6. การจดจำนองที่ดิน ด้วยการจดจำนองตามกฎหมายแต่คิดดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าดำเนินการในอัตราที่สูง จนไม่สามารถผ่อนได้
และ7.วางหลักประกัน ด้วยการให้ลูกหนี้นำเล่มทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือโฉนดที่ดินไปวางค้ำประกันไว้กับเจ้าหนี้ แต่ไม่ได้ทำธุรกรรมทางทะเบียนตามที่กฎหมายกำหนด ด้วยการโอนทะเบียนไว้ล่วงหน้า (โอนลอย) สุดท้ายก็จะยึด โดยนำเอกสารที่โอนลอยไว้ไปดำเนินการตามขั้นตอนและยึดทรัพย์ไป
ทั้งนี้ จากสถิติการรับแจ้งเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. 63 ถึง 31 มี.ค. 64 ได้รับแจ้งเรื่องเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ จำนวน 7,460 เรื่อง ดำเนินการ เสร็จสิ้น 6,772 เรื่อง และอยู่ระหว่างดำเนินการ 688 เรื่อง โดยพบสาเหตุที่ไม่สามารถดำเนินการได้ คือ 1) บางครั้งผู้แจ้งเบาะแสไม่มาแจ้งความในฐานะผู้กล่าวหา และ 2) การขอข้อมูลจากสถาบันการเงินเพื่อประกอบการออกหมายจับ ซึ่งจากการวิเคราะห์แนวโน้มของหนี้นอกระบบและพื้นที่เกิดเหตุ พบว่า ในปี 63 เรื่องที่รับแจ้งมากเป็นลำดับที่ 1 คือ ดอกเบี้ยเกินอัตรา แต่ต่อมาในปี 64 - 65 เรื่องที่รับแจ้งเป็นอันดับที่ 1 คือ “การกู้ออนไลน์”
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า จากการวิเคราะห์สภาพปัญหา 7 ประเภทที่มีสถิติในลำดับต้น ๆ ทั้งเรื่องดอกเบี้ยเกินอัตรา กู้ออนไลน์ และหมวกกันน็อค พบว่าสภาพปัญหาเรื่องดอกเบี้ยเกินเป็นเรื่องระหว่างบุคคลกู้ยืมกันเอง ยากต่อการที่เจ้าหน้าที่ภาครัฐจะเข้าตรวจสอบ จะพบปัญหาก็ต่อเมื่อมีการผิดสัญญากันเกิดขึ้น พบมากในปี 63 - 64 และมีแนวโน้มลดลงในปี 65 อันมีผลมาจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ในส่วนของ “หมวกกันน็อค” ได้รับร้องเรียนมากในปี 63 และได้มีการกวาดล้างจับกุมอย่างเข้มงวดจนมีแนวโน้มการกระทำความผิดลดลงในปี 64 และ 65 และสำหรับ “กู้ออนไลน์” มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปี 64 – 65 จนเป็นเบาะแสร้องเรียนมากที่สุด เนื่องจากมีการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการกระทำความผิดมากขึ้น และพบการกระทำความผิดกระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ
“ในปัจจุบันพบการปล่อยกู้ที่มีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนมีเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งผ่านสายด่วน 1599 หรือแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจใกล้บ้านทั้ง 1,484 สถานี หรือกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน กรุงเทพมหานคร โดยในกรณีเป็นการกระทำความผิดที่มีความยุ่งยากซับซ้อนและพบผู้มีอิทธิพลในการกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องหลายพื้นที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะส่งชุดปฏิบัติการส่วนกลางเป็นผู้ดำเนินการ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อผู้เสียหายจากผู้มีอิทธิพล” พลตำรวจโท ธนาฯ กล่าวเน้นย้ำ
พลตำรวจโท ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา ป้องกัน และปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ ซึ่งกลไกสำคัญที่ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับพี่น้องประชาชน คือ กลไกในระดับพื้นที่ ทั้งท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านนายอำเภอ ท่านปลัดอำเภอ และท่านพัฒนากร ซึ่งจะทำให้เกิดการประสานข้อมูลระหว่างกัน และเกิดการขับเคลื่อนการดำเนินงานทั้งในมิติป้องกัน ปราบปราม และพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้นอกระบบ อันจะทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนบรรลุผลตามนโยบายรัฐบาล เกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน
อนึ่ง ในการแก้ปัญหาได้จำแนกการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบออกเป็น 5 มิติ ได้แก่
มิติที่ 1 การจัดการเจ้าหนี้นอกระบบ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบตามกฎหมายว่าด้วยการห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ซึ่งได้เพิ่มโทษกับเจ้าหนี้นอกระบบ และเปิดโอกาสให้เจ้าหนี้นอกระบบสามารถจดทะเบียนเป็นผู้ให้สินเชื่อในระบบได้ มิติที่ 2 ไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สามารถร้องทุกข์และขอคำปรึกษาปัญหาหนี้นอกระบบได้ โดยคณะกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ประจำจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นที่ปรึกษา อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัด เป็นประธาน ท่านปลัดจังหวัด นายอำเภอ และปลัดอำเภอ ร่วมเป็นกลไกขับเคลื่อน เพื่อช่วยเจรจาระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้
มิติที่ 3 ให้แหล่งเงินในระบบ โดยสถาบันการเงินที่เป็นคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบ ซึ่งลูกหนี้สามารถขอสินเชื่อจากพิโกไฟแนนซ์ หรือบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลโดยมีหรือไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน ที่มีอยู่จำนวน 1,050 แห่ง ทั่วประเทศ ในวงเงิน 50,000 บาท/ราย มิติที่ 4 ฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ โดยอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการหารายได้ของลูกหนี้นอกระบบทุกจังหวัด ทำหน้าที่ในการฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ในระบบ เช่น ปลูกฝังความรู้และวินัยทางการเงิน ฝึกอบรมอาชีพ หรือพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งท่านพัฒนาการอำเภอและพัฒนากรในพื้นที่เป็นกลไกในการขับเคลื่อนมิตินี้ และมิติที่ 5 สร้างภูมิคุ้มกัน โดยองค์กรการเงินชุมชนหรือกองทุนหมุนเวียน ซึ่งภาครัฐจะพัฒนาเครือข่ายองค์กรการเงินชุมชนให้ทำหน้าที่ทดแทนเจ้าหนี้นอกระบบในการให้ความรู้แก่ประชาชนและจัดทำฐานข้อมูลหนี้นอกระบบที่เหมาะสมและตรงเป้าหมาย
โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดตั้ง “ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ” หรือ ศปน.ตร. ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. 63 ขับเคลื่อนการทำงาน 5 ขั้นตอน คือ 1) ลงพื้นที่ สำรวจพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากหนี้นอกระบบ เพื่อค้นหาเบาะแสหนี้นอกระบบ 2) ค้นหาเป้าหมายโดยนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อพบผู้กระทำความผิดและเหยื่อที่ได้รับการเอารัดเอาเปรียบ 3) ทำลายโครงสร้าง ด้วยการสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด 4) ดำเนินคดี ด้วยการบังคับใช้กฎหมายและดำเนินคดีกับผู้ต้องหา และ 5) ประเมินผล ด้วยการนำเอาผลการปฏิบัติมาถอดบทเรียนเพื่อประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์
ด้านมหาดไทยผนึกกำลังสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าขับเคลื่อนแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนตามนโยบายแก้ปัญหาความยากจนโดย ศจพ. ของรัฐบาล
โดยเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน โดยมี นายพิริยะ ฉันทดิลก รองอธิบดีกรมการปกครอง ฝ่ายการปกครองท้องที่ นายณัชวันก์ อัลภาชน์ เตชะเสน ผู้อำนวยการสำนักการสอบสวนและนิติการ พันตำรวจโท ชาติชาย สุวัชระเวช ผู้อำนวยการส่วนอำนวยความเป็นธรรม ปลัดจังหวัดทุกจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอรับผิดชอบศูนย์ดำรงธรรม และพัฒนาการอำเภอ ทุกอำเภอ เข้าร่วมรับฟัง โดยได้รับเกียรติจาก พลตำรวจโท ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คุณชวนันท์ ชื่นสุข รองผู้อำนวยการฝ่ายคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา นายอนุชิต เสียงใหญ่ ผู้ตรวจราชการกรมบังคับคดี คุณธปภัค บูรณสิงห์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการระงับข้อพิพาท นายกิตติ อึ้งมณีภรณ์ นักสืบสวนสอบสวนชำนาญการพิเศษ กองคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญา ร่วมบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน โดยมีปลัดจังหวัด 76 จังหวัด นายอำเภอทั้ง 878 อำเภอทั่วประเทศ และผู้บริหารกรมการปกครองส่วนกลางร่วมในการประชุมและรับฟังการบรรยาย
นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับพี่น้องประชาชน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) มีเป้าหมายสำคัญ คือ “การแก้ปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้าแต่ละครัวเรือน” ด้วยเป้าเดียวกันจากข้อมูลในระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform) หรือ TPMAP ที่มีอยู่ประมาณ 6 แสนครัวเรือน หรือประมาณ 1 ล้านคนเศษ ซึ่ง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ได้เน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอทั่วประเทศ บูรณาการทุกภาคส่วนช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ตกเกณฑ์ TPMAP ทั่วประเทศ และกระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครองได้ออกแบบระบบ ThaiQM เพื่อทำการสำรวจข้อมูลผู้ตกหล่นจากระบบ TPMAP เพิ่มเติม โดยใช้หลักเกณฑ์ 17 ตัวชี้วัดที่สอดรับกับระบบ TPMAP และจากการลงพื้นที่สำรวจและวิเคราะห์สภาพปัญหาของทีมพี่เลี้ยงพบว่า ประชาชนที่ตกเกณฑ์กำลังประสบกับปัญหาหนี้สิน ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ซึ่งปัญหาดังกล่าวอยู่นอกเหนือตัวชี้วัดในระบบ TPMAP จึงเป็นที่มาของการประชุมขับเคลื่อนแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนในวันนี้
จากนั้น เป็นการบรรยายแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน โดยนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวในช่วงท้ายว่า ขอให้ปลัดจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ และพัฒนากร ได้ช่วยกันพิจารณาแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวันของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะองค์ความรู้และทักษะในการใช้ชีวิต ทั้งการป้องกัน “ก่อนจะเป็นหนี้” หรือหากเมื่อพี่น้องประชาชนเป็นหนี้แล้ว เราจะช่วยแก้ไขอย่างไร และหลังจากที่แก้หนี้แล้ว เราจะทำอย่างไรให้พี่น้องประชาชนมีภูมิคุ้มกันและไม่กลับไปเป็นหนี้ซ้ำ ซึ่งเป็นหลักก่อนที่จะเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ ทั้งนี้ ขอให้ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของพี่น้องประชาชน ดังปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ของชาวมหาดไทยที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนมาตลอด 130 ปี อันจะส่งผลให้พวกเราชาวมหาดไทยทุกคนมีความสุขไปพร้อมกันกับพี่น้องประชาชนทุกคนอย่างยั่งยืน
Comments