top of page

แก๊งคอลเซ็นเตอร์สุดแสบ!!!ตีเนียนเป็นตำรวจและ DSI เข้าช่วยเหลือแล้วหลอกโอนเงิน สูญกว่า3.4 ล้านบาท

ศูนย์รวมข่าว


ตร.ไซเบอร์พบหนุ่มวัย 17 ปี กับคุณย่า ถูกหลอกโอนเงินเก็บทั้งชีวิต กว่า 3.4 ล้านบาท

คนร้ายสุดแสบ แอบอ้างเป็นผู้เสียหายโทรไปธนาคารเพื่ออายัดบัญชีและปิดแอปฯ

ก่อนตีเนียนเป็นตำรวจและ DSI เข้าช่วยเหลือแล้วหลอกโอนเงิน รรท.ผบช.สอท. สั่งเร่งรัดคดี พร้อมให้คำมั่นจะจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้

.

สืบเนื่องจาก พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.รรท.ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ตำรวจไซเบอร์ทุกกองบังคับการทั่วประเทศ เฝ้าระวังการเกิดเหตุแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงประชาชน หากพบให้เร่งดำเนินการสืบสวนเพื่อจับกุมคนร้ายและดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดทุกกรณี เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้เสียหาย

.

ล่าสุด ตำรวจไซเบอร์พบว่า ได้มีผู้เสียหายเป็นเยาวชนชายอายุเพียง 17 ปี อาศัยอยู่กับคุณปู่และคุณย่าในพื้นที่ จ.อุดรธานี ได้ถูกกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์หลอกลวงอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ DSI จนสูญเงินกว่า 3.4 ล้านบาท จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบ ต่อมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.รรท.ผบช.สอท. จึงสั่งการให้

พ.ต.อ.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รอง ผบก.สอท.2 รรท.ผบก.สอท.3 และ พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1 บก.สอท.3 ลงพื้นที่สืบสวนเพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย และติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุโดยเร็ว

.

ต่อมา พ.ต.อ.อภิรักษ์ฯ ได้นำกำลังตำรวจไซเบอร์ลงพื้นที่ และเข้าพบผู้เสียหายคือ นายรพีภัทร (นามสมมุติ)

อายุ 17 ปี พบว่าอาศัยอยู่กับผู้สูงอายุซึ่งเป็นปู่และย่า ในพื้นที่ อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี จากการสอบถามข้อมูลทราบว่าเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา นายรพีภัทร์ได้อยู่บ้านกับย่าเพียง 2 คน ได้มีสายปริศนาโทรเข้ามาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จาก DSI แล้วหลอกว่าบัญชีธนาคารของนายรพีภัทรเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในคดีฟอกเงินของนายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ โดยมิจฉาชีพที่โทรเข้ามานั้น ทราบข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายและแจ้งว่าได้อายัดบัญชีและปิดการใช้งานแอป Mobile Banking ในโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายได้ เมื่อผู้เสียหายตรวจสอบ ปรากฏว่าบัญชีธนาคารได้โดนอายัดและไม่สามารถเข้าใช้งานแอป Mobile Banking ผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้จริง ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าผู้ที่ติดต่อเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ตัวจริง

.

จากนั้นมิจฉาชีพให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนทางไลน์แล้ววิดีโอคอลพูดคุย จากนั้นมีคนแต่งกายเป็นตำรวจทั้งชาย

และหญิงมาพูดคุยด้วย แล้วแจ้งให้โอนเงินไปตรวจสอบจำนวน 50,000 บาท แต่เนื่องจากผู้เสียหายไม่มีเงิน

ในบัญชี มิจฉาชีพจึงบอกให้ไปหาเงินจากบัญชีธนาคารของญาติหรือใครก็ได้ แล้วโอนไปให้ตรวจสอบ

ผู้เสียหายและย่าของผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงนำโทรศัพท์ของย่าที่มีแอปพลิเคชันธนาคารและมียอดเงินในบัญชีจำนวน 2 บัญชี โอนเงินไปให้คนร้ายรวม 10 ครั้ง เป็นจำนวน 1,372,311 บาท

.

ต่อมา ผู้เสียหายได้นำโทรศัพท์ของปู่ตนเองโอนเงินให้คนร้ายอีก จำนวน 1 ครั้ง เป็นเงิน 46,163 บาท แล้วได้นำบัญชีธนาคารอีกบัญชีของย่าซึ่งไม่สามารถโอนผ่านแอปพลิเคชันได้ ไปปิดบัญชีที่ธนาคาร แล้วนำเงินเข้าบัญชีของผู้เสียหาย ก่อนโอนให้มิจฉาชีพอีก 1 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 1,998,004 บาท รวมความเสียหายที่โอนเงินทั้งสิ้น 3,412,642 บาท ซึ่งทั้งหมดเป็นเงินเก็บของปู่และย่าของผู้เสียหายที่ได้เก็บมาทั้งชีวิต โดยมิจฉาชีพที่แต่งกายเป็นตำรวจได้วิดีโอคอลตลอดเวลาเพื่อควบคุมสั่งการมิให้คลาดสายตา

.

นอกจากนี้ เมื่อผู้เสียหายโอนเงินไปหมดแล้ว คนร้ายยังถามหาทรัพย์สินอื่นของผู้เสียหายอีก แล้วข่มขู่ว่าหากมีให้นำไปจำนองหรือจำนำแล้วนำเงินที่ได้โอนมาตรวจสอบ ผู้เสียหายและย่าจึงรู้ตัวว่าถูกหลอกลวง จึงพากันไปแจ้งความที่ สภ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี

.

จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ตำรวจไซเบอร์จึงทราบว่า มิจฉาชีพได้แอบอ้างเป็นผู้เสียหาย คือตัว

นายรพีภัทร์ฯ แล้วโทรศัพท์ไปที่ธนาคารเพื่อขออายัดบัญชีและขอปิดการใช้งานแอปพลิเคชัน Mobile Bankingบนโทรศัพท์มือถือของนายรพีภัทร์ฯ จากนั้นคนร้ายจึงแจ้งให้ นายรพีภัทร์ฯ ลองตรวจสอบ เมื่อ นายรพีภัทร์ฯ ตรวจสอบพบว่าบัญชีโดนอายัดและแอปพลิเคชันดังกล่าวไม่สามารถใช้งานได้จริง จึงได้หลงเชื่อ

.

ทั้งนี้ พ.ต.อ.อภิรักษ์ฯ ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ทุ่งฝน ให้สอบสวนผู้เสียหายเบื้องต้นตั้งแต่วันเกิดเหตุ โดยล่าสุดได้ประสาน ผกก.สภ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี เพื่อขอรับโอนคดีมายัง กก.1 บก.สอท.3 เป็นผู้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนแล้ว และจะได้เร่งรัดให้พนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

.

ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.67 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สอท.3 ได้เดินทางไปพบผู้เสียหาย เพื่อให้กำลังใจแก่ผู้เสียหายและครอบครัวพร้อมกับได้สอบปากคำเพิ่มเติม พร้อมทั้งตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายทำให้ได้ข้อมูลพยานหลักฐานเช่น ข้อมูลการโทร ภาพคนร้าย คลิปวิดีโอ คลิปเสียง เพื่อนำมาประกอบคดีเพิ่มเติม

.

นอกจากนี้ พ.ต.อ.อภิรักษ์ฯ ยังได้วิดีโอคอลคุยกับผู้เสียหายทั้ง 2 คน ได้แก่ทั้งนายรพีภัทร (ผู้เสียหาย) และย่าของผู้เสียหาย เพื่อให้กำลังใจและคำมั่นในการเร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี โดยแจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่า ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงของตำรวจไซเบอร์เอง ทั้ง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รรท.ผบช.สอท. และพ.ต.อ.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รอง ผบก.สอท.2 รรท.ผบก.สอท.3 ขอส่งกำลังใจมาให้ และยืนยันว่า “ตำรวจไซเบอร์ทุกนายมีความตั้งใจในการทำคดีอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นที่พึ่งและเยียวยาความเดือดร้อน

ของผู้เสียหายทุกราย ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนมีชื่อเสียง บุคคลทั่วไป หรือกลุ่มเปราะบาง จึงขอให้มั่นใจในการทำงานของตำรวจไซเบอร์”

.

Comments


ดาวน์โหลด (1).png

เพื่อให้ทุกท่านสามารถติดตามประเด็นวิเคราะห์เจาะลึกผ่านทาง CLOSE-UP THAILAND เชิญเพิ่มเพื่อนทางไลน์ @closeupthailand

bottom of page