“3คณบดีเศรษฐศาสตร์” มหาวิทยาลัยชั้นนำ แนะมาตรการทางออกศก.ไทยในระยะสั้น เพื่อฝ่าปัญหาที่กำลังเผชิญทั้ง"การผ่อนคลายทางการเงินให้SMEประชาชนเข้าถึงแหล่งทุน-เปิดO/Dภาคครัวเรือน-จัดคนละครึ่งให้ครอบคลุม"
- Close Up Thailand
- 11 ก.ย.
- ยาว 2 นาที

โดย3คณบดีเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยชั้นนำ แนะมาตรการทางออกเศรษฐกิจไทยระยะสั้น เพื่อฝ่าปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญ ทั้ง”มาตรการผ่อนคลายทางการเงินให้SMEและประชาชนเข้าถึงแหล่งทุน-มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ-การแข่งขันทางการค้า-เปิดO/D ภาคครัวเรือน-เร่งการใช้งบประมาณปี2569-แก้ปัญหากัมพูชาให้ยุติ”
เห็นด้วยการปัดฝุ่นมาตรการ“คนละครึ่ง ” จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นได้ เพราะตลาดขาดกำลังซื้ออย่างหนัก แต่ควรมีมาตรการที่เหมาะสมให้ครอบคลุมถึงSMEให้ได้รับประโยชน์ทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภคไปพร้อม ๆ กัน
นอกจากนี้ยังเตือน ระวังเกิดภาวะที่เรียกว่า "พาราด็อกออฟซิก" (Paradox of Choice)กับเศรษฐกิจไทย
CLOSE-UP THAILAND จัดเสวนาออนไลน์เรื่อง “THE EXIT :เศรษฐกิจไทย? โจทย์และความท้าทาย” โดยเชิญ 3 คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำ ร่วมสนทนา ประกอบด้วย
-รศ.ดร.พีระ เจริญพร คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
-รศ.ดร.สุทินย์ เวียนวิวัฒน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ขอนแก่น
-รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ร่วมแลกเปลี่ยน เกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยขณะนี้ และนำเสนอทางออกผ่านมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ควรมีอะไรบ้าง?
โดยตอนแรก CLOSE-UP THAILAND จะนำเสนอมาตรการระยะสั้น เพราะรัฐบาลมีเวลาบริหารประเทศเพียง 4 เดือน เพื่อจะนำไปสู่การเลือกตั้งต่อไป!!!

“รศ.ดร.พีระ เจริญพร” คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองสถานการณ์เศรษฐกิจไทยว่า วันนี้ สภาพเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับการเจริญเติบโตที่ต่ำ มีการปรับประมาณการเจริญเติบโตของจีดีพีลดลงตลอดเวลา ทุกคนเจอค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่รายได้ลดต่ำลง
ถามว่า ทำไมเป็นแบบนั้น? คือเศรษฐกิจไทยเดิมพึ่งพาการส่งออก แต่วันนี้เศรษฐกิจโลกไม่ค่อยดี ไทยจึงหันไปพึ่งการท่องเที่ยว ซึ่งก็ทำได้ดี แต่ว่าไทยไปพึ่งพานักท่องเที่ยวจากจีนมากเกินไป เมื่อจีนเขาหันไปเที่ยวในประเทศ และไปประเทศอื่นแทน ทำให้รายได้ที่เป็นตัวจุนเจอหายไปด้วย
สรุป ปัญหารยะสั้นที่ไทยเจอคือ 1.เติบโตต่ำ 2.เงินเฟ้อสูง มีทั้งเงินเฟ้อที่กดดันจากภายนอก จากราคาเชื้อเพลิงแพงขึ้น ค่าจ้างที่แพงขึ้น เกิดภัยธรรมชาติทำให้พืชพันธุ์ ธัญญาหารต่างๆแพงขึ้น เมื่อเงินเฟ้อสูง รายได้น้อยลง ทุกคนก็เกิดการออม เมื่อรายได้น้อยค่าใช้จ่ายสูง ก็เจอกับปัญหาหนี้สินที่เพิ่มขึ้น เมื่อเจอเรื่องหนี้สิน การตัดสินใจลงทุนต่างๆก็จะยากขึ้น เมื่อทุกคนรายได้น้อย ค่าใช้จ่ายสูง ของราคาแพง ทำให้ทุกคนเข้าสูการประหยัด ถ้าคนหนึ่งประหยัดเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าทุกคนในสังคมประหยัด ก็จะเจอภาวะที่เรียกว่า "พาราด็อกออฟซิก" (Paradox of Choice) กลายเป็นว่ายิ่งประหยัด ประเทศยิ่งไม่มีเงินหมุนเวียน เศรษฐกิจก็จะยิ่งซึมเซาลง เมื่อเศรษฐกิจซึม เอกชนก็ไม่กล้าลงทุน อันนี้ก็จะกลายเป็นปัญหา
“สุดท้ายที่ผมคิดว่ามีความเกี่ยวพันกันคือปัญหาทางด้านสังคม เพราะเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ก็จะหาเงินในสิ่งที่ผิดกฎหมาย เงินผิดกฎหมายต่างๆก็จะรั่วไหลไปทั้งปัญหาสังคม และยาเสพติดต่าง ๆ
เหล่านี้คือปัญหาที่มันพันกันอยู่ แต่โดยหลักๆแล้ว มาจากปัญหาภายในเกี่ยวกับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ที่ไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้การใช้จ่ายของรัฐบาลไม่ได้ดังหวัง
และอีกปัจจัยคือแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ไม่ดี ประเทศเราเป็นประเทศเล็ก แต่เศรษฐกิจเปิด เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ดี เราก็จะไม่ดีตาม ต่อให้เทวดามาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ยากจะรับมือ”
คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เสนอ 5 มาตรการระยะสั้น เพื่อรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนี้
มาตรการที่ 1 การเกิดภาวะคนไม่กล้าใช้เงิน สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ การกระตุ้นทำให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น ถามว่ากระตุ้นอย่างไร อย่างแรกเลยคือนำเงินให้ประชาชนไปใช้จ่าย แต่มาตรการนี้ควรให้กับคนที่เดือดร้อน เชน คนไม่สามารถหารายได้ คนตกงาน หรือคนไม่สามารถทำงานได้อย่างผู้สูงวัย จะเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมไปพร้อมกันเพราะเงินมีจำกัด ดังนั้น มาตรการกระตุ้นทำได้แต่ควรทำในกลุ่มที่เจาะจง
ยกตัวอย่าง มาตรการคนละครึ่ง ถือเป็นมาตรการกระตุ้นที่ดี มีประสิทธิภาพ ถ้านำมาใช้ก็หามาตรการที่เหมาะสมรองรับ ให้ครอบคลุมถึงเอสเอ็มอีไทย เพื่อให้ได้รับประโยชน์ทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภค
มาตรการที่ 2 การใช้จ่ายของรัฐบาล ต้องเร่งผลักดันการใช้จ่ายงบประมาณ หรือ งบค้างท่อต่างๆ ควรจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะส่วนใหญ่หน่วยงานเมื่อเจอการตรวจสอบเรื่องคอรัปชั่นมากๆ ก็ไม่กล้าใช้ กังวลในเรื่องการตรวจสอบจาก สตง. แม้การตรวจสอบการใช้จ่ายอย่างโปร่งไสเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ากลับกลายเป็นอุปสรรคในการผลักดันงบประมาณไปสู่ระบบเสียเอง เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขโดยด่วน
มาตรการที่ 3 เวลานี้ ผู้ปะกอบการล้มหายตายจากไปมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการทุ่มตลลาด เพราะมีสินค้าซึ่งส่วนใหญ่มาจากจีนราคาถูกกว่าเข้ามาขายมากมาย แถมมีแต้มต่อที่ดีกว่าเพราะรัฐบาลสนับสนุนเรื่องของโลจิสติกส์ รวมทั้งเรื่องภาษีซึ่งจ่ายถูกกว่าประเทศไทย ขณะของไทยมีทั้งภาระภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล แถมภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่สินค้านำเข้าไม่มีภาระภาษีเหล่านี้เลย นอกจากนี้สินค้าไทยยังต้องมีมาตรฐานต่างๆมากมาย
ท้ายสุดพอเป็นแบบนี้ เมื่อเรานำเข้าสินค้าถูกจากต่างประเทศมากๆ แง่ดีผู้บริโภคได้ใช้ของราคาถูก ในแง่เสียก็เป็นเหตุผลว่าทำไม ผู้ประกอบการล้มหายตายจากไป การจ้างานก็หายไป
ดังนั้น ในระยะสั้นควรหามาตรการคุ้มครองผู้ประกอบการในประเทศ หามาตรการการทุ่มตลาดจากต่างประเทศเป็นสิ่งที่ต้องเร่งทำ หลายประเทศก็ทำ อเมริกา อินโดนีเซีย เป็นต้นเหล่านี้เขาทำ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เขาทำหมด มีแต่ไทยที่เกรงใจจีนมากเกินไป ถึงตอนนั้น ผู้ประกอบการไทยตายหมด ซึ่งจะส่งผลต่อการจ้างงานตามมาด้วย
มาตรการทที่4 ขณะนี้เรากำลังเผชิญปัญหาการกีดกันทางการค้า และพบว่าจีนไปแย่งตลาดไทยเกือบทุกที ดังนั้นเวลาไทยไปที่ไหนก็จะเจอกับผู้แข่งขันจีนตลอด ฉะนั้น ถ้าปล่อยให้ผู้ประกอบการไปเดียวๆ ขณะจีนได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และยังได้ Economy of Scale ดังนั้น หากเราปล่อยให้ผู้ประกอบการไปเอง ไปหาตลาดส่งออกเพื่อกระจายสินค้า ตามที่เราแนะนำโดยที่เราไม่ได้ช่วย ตนคิดว่าในทางปฏิบัตินั้นเป็นไปได้ยาก ในการที่จะให้ภาคส่งออกกลับมาเป็นเครื่องจักรอีกครั้ง
และมาตรการสุดท้าย ในการเร่งระยะสั้น คือ การใช้มาตรการการเงินแบบผ่อนคลาย โดยจากที่กนง.ประกาศลดดอกเบี้ย และเชื่อว่าคงมีการประกาศลดดอกเบี้ยอีกต่อไป การลดดอกเบี้ยก็ทำให้สภาพคล่องสูงขึ้น แต่สภาพคล่องจะสูงแค่ไหน แต่ถ้าหนี้ครัวเรือนยังสูงอยู่ สภาพคล่องไปก็ไม่รู้จะปล่อยใคร ดังนั้น จึงต้องแก้ปัญหาไปพร้อมกัน ทั้งหนี้ครัวเรือน และสร้างสภาพคล่อง
เหล่านี้ ก็จะช่วยทำให้เศรษฐกิจระยะสั้นนั้นดีได้!!!

ขณะ “รศ.ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์” คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. วิเคราะห์ว่า สภาพเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นหลัก ในระยะอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะพึงพายากขึ้น เพราะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ จึงต้องมีมาตรการรองรับ ทั้งมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
โดยเฉพาะมาตรการระยะสั้น ตนอยากเสนอ ดังนี้
1.มาตรการการเงิน ทำอย่างไรให้ครัวเรือนและเอสเอ็มอี มีแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เพราะธนาคารพาณิชย์เข้มงวดการปล่อยกู้ทั้งครัวเรือนและเอสเอ็มอี ที่จะมาขยายธุรกิจ รัฐบาลอาจต้องหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย ในการออกมาตรการเพื่อกระตุ้นภาคครัวเรือน และเอสเอ็มอีให้เติบโตได้ ผ่านนโยบายการเงิน
2.รีบออกมาตรการเพื่อสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะไทยมีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวได้มากกว่าถึง 40ล้านคนมาแล้ว แต่ปีนี้ไม่น่าจะเกิน 35 ล้าน ทำอย่างไรจะมีกลยุทธ์ที่โดนใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยกันมากๆ
3.เร่งใช้จ่ายงบประมาณปี 2569 ซึ่งน่าจะได้เริ่มใช้หลังตุลาคม เป็นต้นไป อันนี้ก็ต้องเร่งเบิกจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจท้องถิ่น ต้องเร่งจ่ายโดยด่วน และโครงการไหนที่จะรั่วไหลไปต่างประเทศควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เช่น การซื้อสินค้า และบริการของต่างชาติ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ควรซื้อสินค้าที่ซัพพลายเชนในประเทศจะเหมาะสมที่สุด
4.ต้องเร่งเคลียร์ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาให้จบโดยเร็ว เพราะกระทบหลายส่วน ทั้งการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว
5. ปลายปีหากมีการเลือกตั้ง ตนเชื่อว่า จะเป็นผลดี เพราะการเลือกตั้งเม็ดเงินเกิดการสะพัดมาก เกิดการจ้างานได้มาก และเงินแทบไม่รั่วไหลออกต่างประเทศ ทั้งการรณรงค์หาเสียงต่างๆ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก
6.ธนาคารแห่งประเทศไทยควรดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งเกินไป เพราะค่าเงินบาทวันนี้ค่อนข้างแข็งเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในภาคการส่งออก ทำให้ไทยเสียเปรียบ เพราะปกติต้นทุนการผลิตสินค้าก็ไม่ได้เปรียบอยู่แล้ว ยิ่งมาเผชิญกับค่าเงินบาทที่แข็งกว่าคู่แข่งทำให้ส่งออกลำบาก
7.ออกมาตรการแจกคูปอง เพื่อซื้อสินค้าวิสาหกิจชุมชน แทนที่จะแจกเงินเหมือนครั้งที่แล้วมอาจเกิดการรั่วไหลมาก เพราะหมุนแค่รอบเดียวก็ไปเข้ารายใหญ่ และไม่หมุนต่อ แต่การแจกคู่ปอง และซื้อสินค้าท้องถิ่น จะช่วยบูทเศรษฐกิจชุมชนได้ดีเกิดกำลังซื้อตามมา เศรษฐกิจฐานรากก็จะเติบโต เพราะเศรษฐกิจต้องเติบโตจากฐานราก ซึ่งใช้งบประมาณไม่มาก
8.มาตรการแจกเครดิตเงินกู้ โดยอาจจะเริ่มต้นที่ 10,000 บาท หรือจำนวนเทาไหร่นั้น ลองช่วยกันออกแบบ อัตราดอกเบี้ย3-4 เปอร์เซ็นต์ แพงกว่า กยศ.นิดหนึ่ง ตัวเครดิตเงินกู้อันนี้ เหมือนเป็นแหล่งเงินทุน เอาไว้ใช้ในครัวเรือนในยามขัดสน และจำเป็น เปรียบไปก็เหมือนธุรกิจที่มีบัญชี O/D ที่เวลาเงินไม่พอก็ใช้บัญชีO/D เวลามีเงินก็เข้าบัญชีO/Dเพื่อไม่ให้เสียดอกเบี้ยมาก หลักการนี้ ก็จะคล้ายๆกัน เหมือนเป็นO/Dครัวเรือน เมื่อยืมเสร็จนำไปทำธุรกิจก็เอามาปิดตรงนี้ เมื่อเดือดร้อนใหม่ก็ค่อยกู้ตรงนี้ไปใช้ และหากพบว่าใครมีวินัยก็สามารถเพิ่มวงเงินได้ เป็นการฝึกประชาชนบริหารเงินไปในตัวด้วย
“ มาตรการที่กล่าวมา ผมเชื่อว่า พอจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้”

ขณะ “รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ” คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่า เศรษฐกิจไทยมีอัตราเติบโตต่ำกว่าศักยภาพมาหลายปี หลังเผชิญกับวิกฤติโควิด เราก็ฟื้นตัวมาได้ไม่ค่อยดีนักเมื่อเทียบกับหลายประเทศ และการฟื้นก็เป็นแบบรูปตัว K มีกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ก็ฟื้นตัวได้ดีพอสมควร ส่วนเอสเอ็มอี และประชาชนทั่วไปก็ยังฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก และยิ่งมาเจอผลกระทบในเรื่องสงครามการค้า ก็จะพบผลกระทบที่จะเห็นชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ช่วงครึ่งปีแรกผลกระทบยังไม่เกิดเท่าไหร่ เพราะมีการเลื่อนมาตรการบังคับภาษี ประกอบกับผู้นำเข้าในสหรัฐเขาเร่งนำเข้าด้วย ส่งผลให้ภาคสงออกของไทยขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้มาก โดยหากดูจากตัวเลขส่งออกในครึ่งปีแรก การส่งออกขยายตัวได้ 15เปอร์เซ็นต์ ถือว่าสูง แต่นับแต่เดือนสิงหาคม เป็นต้นไป การส่งออกจะชะลอตัวลงชัดเจน หรือถึงกับติดลบได้ในช่วงครึ่งหลังของปี จะทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมชะลอตัวด้วย
ในครึ่งปีแรก การบริโภค การลงทุนยังขาตัวเป็นบวกอยู่ แต่ไม่ได้สูง แต่ในช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอตัวเมื่อเปรียบกับครึ่งปีแรก การลงทุนภาคเอกชนเพิ่งจะเห็นสัญญาณฟื้นตัวในช่วงไตรมาส2 ปีนี้ โดยก่อนหน้านี้ไตรมาสแรก ติดลบ -0.9เปอร์เซนต์ ไตรามาส2 ขยายตัวได้ 4.1เปอร์เซนต์ ทำให้ครึ่งปีแรกการลงทุนภาคเอกชนอยู่ที่ 1.4 เปอร์เซนต์
ส่วนการลงทุนภาครัฐมีการเร่งใช้จ่ายงบประมาณ เนืองจากช่วงปีงบ2567 มีความล่าช้า ในการทำงบประมาณปี 2568 เลยมีการเร่งดำเนินการ ทำให้การใช้งบประมาณในภาครัฐกลายเป็นตัวเลข 2 หลัก
แต่ภาพรวมการบริโภคนั้นยังไม่ดีนัก รายได้จากภาคการท่องเที่ยวก็ไม่ได้เป็นไปตามเป้า ประกอบกับประชาชนส่วนมากก็มีภาระหนี้สินค่อนข้างสูง โดยสัดส่วนหนี้สินต่อจีดีพีก็อยู่ในระดับสูงมาก ส่งผลต่อการบริโภคขยายตัวไม่ดี
โดยปัญหาเศรษฐกิจไทยเวลานี้มีทั้งปัญหาระยะสั้น และปัญหาระยะยาว โดยปัญหาระยะยาวก็จำเป็นต้องปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจในหลายๆภาคส่วนที่จะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยดีขึ้น คู่กับการแก้ปัญหาเรื่องความเหลี่ยมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาสะสะสมต่อเนื่องยาวนาน เพราะเรามีโครงสร้างที่มีความเหลื่อมล้ำสูง
“ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ “ จึงเสนอมาตรการเร่งด่วน 7 ข้อต่อรัฐบาลใหม่ให้มีการดำเนินการก่อนคืนอำนาจให้ประชาชน ประกอบด้วย มาตรการแรก เจรจาหารือกับรัฐบาลกัมพูชาเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดการปะทะกับตามแนวชายแดนไทยกัมพูชารอบใหม่ เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนและทหาร ป้องกันความเสียหายทางเศรษฐกิจและทรัพย์สิน มาตรการที่2 ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกัมพูชาให้กลับสู่ภาวะปรกติและเปิดด่านชายแดนเพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจการค้าสามารถดำเนินการได้ตามปรกติ มาตรการที่3 เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 โดยเฉพาะงบลงทุนและเร่งรัดการดำเนินการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับอนุมัติแล้ว
มาตรการที่4 สนับสนุนการขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชนให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มาตรการที่5 ออกมาตรการลดผลกระทบที่เกิดจากกำแพงภาษีและมาตรการกีดกันการค้าจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมโดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีและรักษาการจ้างงาน มาตรการที่6 มาตรการดูแลผลกระทบจากความผันผวนของสภาพภูมิอากาศต่อภาคเกษตรกรรมและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ มาตรการที่ 7 มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น
“ส่วนนโยบายหรือมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจคงไม่สามารถดำเนินการอะไรได้มากนักในรัฐบาลใหม่ที่อายุ 4 เดือน การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการปฏิรูปเศรษฐกิจในบางมิตินั้นต้องอาศัยความมีเสถียรภาพทางการเมืองและรัฐบาลต้องอยู่ยาวนานพอ อาจจะเกิดขึ้นได้หลังการเลือกตั้งหากได้รัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาด”
ทั้งหมดคือ ข้อเสนอมาตรการระยะสั้น ที่ได้จากวงเสวนาออนไลน์ของ CLOSE-UP THAILAND ในครั้งนี้
ตอนหน้า เรามาติดตามขอเสนอในระยะกลาง และระยะยาว ว่ามีอะไร? รอติดตาม!!!








.png)
ความคิดเห็น