การรถไฟฯ ยื่นฟ้องเพิกถอนหรือขับไล่ผู้ครอบครองที่ดินเขากระโดงเพิ่มอีก 9 แปลง ชี้เป็นกลุ่มที่ใช้เชิงพาณิชย์ หากชนะคดีจะดึงรายได้คืนกลับให้การรถไฟฯ
- Close Up Thailand
- 9 ชั่วโมงที่ผ่านมา
- ยาว 1 นาที
ย้ำดำเนินการภายใต้อำนาจตามกฏหมาย เชื่อศาลให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า กรณีที่การรถไฟฯ ยื่นฟ้องเพิกถอน หรือฟ้องขับไล่ ผู้ยึดถือครอบครองที่ดินเลขที่ 3466 และ 8564 บริเวณแยกเขากระโดงเอง ที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น เป็นการดำเนินการตามกฎหมายด้วยความถูกต้อง ยึดมั่นในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้พิจารณาสำนวนไต่สวนข้อเท็จจริง โดยมีมติให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และเลขที่ 8564 เนื่องจากออกทับที่ดินของการรถไฟฯ และแจ้งให้กรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินบริเวณดังกล่าว ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น จึงถือว่ามีพยานหลักฐานชัดเจนที่สุด
ส่วนคำพิพากษาศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 ว่า ที่ดินเขากระโดงเป็นเขตทางรถไฟอันเป็นทรัพย์สินสาธารณะเพื่อกิจการรถไฟ การออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน น.ส. 3 และโฉนดทับแนวเขตทางรถไฟ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยให้กรมที่ดินตรวจสอบแนวเขตและเพิกถอน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน มีมติไม่เพิกถอน ส่งผลให้การรถไฟฯ จำเป็นต้องใช้สิทธิฟ้องเพิกถอนหรือฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองที่ดินเลขที่ 3466 และ 8564 ด้วยตนเอง ตามอำนาจสิทธิที่พึงมี และไม่ใช่การฟ้องเพื่อประวิงเวลาแต่อย่างใด ทั้งนี้ คาดว่าศาลชั้นต้นจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 2 ปี และในชั้นอุทธรณ์อีกประมาณ 1 ปี ซึ่งถือว่าใช้เวลาสั้นกว่าการดำเนินคดีในที่ดินแปลงอื่นจากจำนวนทั้งหมด 995 แปลง และเพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการกับที่ดินรายอื่นๆ ต่อไปด้วย
ขณะเดียวกัน ในวันที่ 17 ตุลาคม 2568 การรถไฟฯ ยื่นฟ้องศาลจังหวัดบุรีรัมย์เพิ่มเติมอีก โดยเป็นกลุ่มคดีที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนิติบุคคลและผู้ครอบครองที่ดินแปลงใหญ่ที่นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ประกอบด้วย ผู้ยึดถือครอบครองที่ดินเลขที่ 3477, 24091, 3476, 3742, 3743, 115572, 9160, 3285 และ 30222 โดยการยื่นฟ้องในกลุ่มนี้เนื่องจากเป็นกลุ่มที่จะไม่กระทบต่อประชาชนทั่วไป ที่สำคัญ หากการรถไฟฯ ชนะคดี จะทำให้การรถไฟฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการนำที่ดินตรงนี้ไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์อีกด้วย
การรถไฟฯ ยืนยันว่า ดำเนินการทุกขั้นตอนตามกฎหมาย เพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐ แต่เมื่อข้อพิพาทยังค้างคาอยู่ จึงต้องขอไปพิสูจน์สิทธิกันในศาล เพราะเชื่อว่าศาลยุติธรรมจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน ทั้งนี้ การรถไฟฯ จะทยอยฟ้องในแปลงต่างๆ ต่อไปจนครบ โดยดูจากประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับการรถไฟฯ เป็นหลัก ขณะเดียวกัน คดีที่อยู่ในศาลปกครองที่การรถไฟฯ ยื่นเป็นคดีใหม่ เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินที่สั่งให้ยุติเรื่อง และขอให้ศาลมีคำสั่งให้อธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนด้วยนั้น ก็ยังดำเนินการอยู่คู่ขนานกันไป เพื่อประโยชน์สูงสุดของการรถไฟฯ
ความคิดเห็น