ครม.อนุมัติโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568
- Close Up Thailand
- 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา
- ยาว 3 นาที
และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69

วันที่ 19 สิงหาคม 2568 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติพิจารณาตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติยกเว้นการไม่ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 (เรื่อง การจัดทำมาตรการ/โครงการเพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือเกษตรกร) ในกรณีให้ทุกหน่วยงานหลีกเลี่ยงการดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกร เฉพาะสินค้าข้าว
2. เห็นชอบโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังปี 2568 (โครงการฯ นาปรัง ปี 2568) และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 (โครงการฯ นาปีปีการผลิต 2568/69) และการใช้เงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายการดำเนินงานตามโครงการทั้ง 2 โครงการ รวมงบประมาณทั้งสิ้น 45,204 ล้านบาท ดังนี้
2.1 โครงการฯ นาปรัง ปี 2568 วงเงิน 7,286.77 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. และ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการช่วยเหลือข้าวนาปรัง เฉพาะปี2568 เท่านั้น
2.2 โครงการฯ นาปี ปีการผลิต 2568/69 วงเงิน 37,917.23 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. และ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
นายอนุกูล กล่าวว่า โครงการฯ นาปรัง ปี 2568 และโครงการฯ นาปี ปีการผลิต 2568/69 ที่ กษ. เสนอในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์และวิธีการดำเนินงานในลักษณะเช่นเดียวกับโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
โครงการฯ นาปรัง ปี 2568 มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพลดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกข้าว รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกรมีแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพของการผลิตข้าว กลุ่มเป้าหมาย 0.861 ล้านครัวเรือน จากเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรประมาณ 5.491 ล้านครัวเรือน โดยเกษตรกรจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดย ธ.ก.ส. จะโอนเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรที่ได้รับสิทธิ
โครงการฯ นาปี ปีการผลิต 2568/69 มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพลดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกข้าว รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกรมีแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพของการผลิตข้าว กลุ่มเป้าหมาย 4.63 ล้านครัวเรือน จากเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรประมาณ 5.491 ล้านครัวเรือน โดยเกษตรกรจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดย ธ.ก.ส. จะโอนเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรที่ได้รับสิทธิ
(มติครม.)
มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2568/69
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ วงเงินรวมทั้งสิ้น 61,697.06 ล้านบาท จำแนกเป็นวงเงินสินเชื่อ 51,232.50 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 10,464.56 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 45,398.81 ล้านบาท จำแนกเป็น วงเงินสินเชื่อ 36,232.50 ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด 9,166.31 ล้านบาท จำแนกวงเงินจ่ายขาดเป็น (1) ค่าฝากเก็บ 4,500 ล้านบาท (2) วงเงินชดเชย 2,130.04 ล้านบาท และ (3) กรณีมีการระบายข้าวโครงการฯ รัฐจ่ายคืนและชดเชยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน 2,536.27 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. และ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 วงเงินงประมาณรวมทั้งสิ้น 15,656.25 ล้านบาท จำแนกเป็น วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 656.25 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. และ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกปีการผลิต 2568/69 วงเงินรวมทั้งสิ้น 642 ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้กรมการค้าภายในเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 26มิถุนายน 2568 [รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) เป็นประธาน] ได้มีมติเห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 ตามที่ พณ. (กรมการค้าภายใน) ร่วมกับ ธ.ก.ส. เสนอ รวมทั้งสิ้น 3 โครงการ เป้าหมาย 8.50 ล้านตัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 61,697.06 ล้านบาท จำแนกเป็น วงเงินสินเชื่อ 51,232.50 ล้านบาท วงเงินชดเชยจ่ายขาด 10,464.56 ล้านบาท ซึ่งการดำเนินโครงการทั้ง 3 โครงการถือเป็นการดำเนินการ เพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและผู้ประกอบการค้าข้าวที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการที่ขอเสนอในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์และวิธีการทำเป็นงานในลักษณะเช่นเดียวกับในปีที่ผ่านมา (ปีการผลิต 2567/68) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 โดยมีเงื่อนไขในการดำเนินงานที่แตกต่างกันบางประการสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ | ปีการผลิต 2567/68 (ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567) | ปีการผลิต 2568/69 (เสนอขอในครั้งนี้) | |
(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี | |||
วัตถุประสงค์/ เป้าหมาย | เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก | ||
ผู้เข้าร่วมโครงการ | - เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี กับกรมส่งเสริมการเกษตรและผลผลิตข้าวเปลือกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง - สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกรวิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน | ||
วิธีการดำเนินโครงการ | - ธ.ก.ส. จ่ายสินเชื่อตามโครงการเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทุกจังหวัดทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร - ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวในอัตรา 1,500 บาทต่อตันข้าวเปลือก โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเองได้รับเต็มจำนวน สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกเข้าโครงการได้รับในอัตรา 1,000 บาทต่อตันข้าวเปลือก และเกษตรกรผู้ขายข้าวได้รับในอัตรา 500 บาทต่อตันข้าวเปลือก - กรณีราคาข้าวเปลือกในตลาดต่ำกว่าราคาข้าวเปลือกที่ให้สินเชื่อ ธ.ก.ส. จะดำเนินการระบายข้าวเปลือกและสำรองจ่ายค่าขนย้ายข้าวเปลือกไปก่อน โดยรัฐจะชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. | ||
วงเงินสินเชื่อต่อตันตามประเภทข้าวเปลือก | ข้าวเปลือกหอมมะลิ 12,500 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 11,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้า 9,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี 10,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเหนียว 10,000 บาทต่อตัน | ข้าวเปลือกหอมมะลิ 13,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 11,500 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้า 8,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี 9,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเหนียว 10,000 บาทต่อตัน | |
อัตราดอกเบี้ย | ร้อยละ 4.50 ต่อปี (รัฐบาลรับภาระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้กู้) | ||
ค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือก | ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวในอัตรา 1,500 บาทต่อตันข้าวเปลือก โดยหากเป็น - เกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเองจะได้รับเต็มจำนวน - สถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกเข้าโครงการจะได้รับในอัตรา 1,000 บาทต่อตันข้าวเปลือก และเกษตรกรผู้ขายข้าวจะได้รับในอัตรา 500 บาทต่อตันข้าวเปลือก | ||
ชดเชยค่าใช้จ่ายในการระบายข้าวเปลือก | ไม่เกินร้อยละ 5 ของวงเงินสินเชื่อ
| ไม่เกินร้อยละ 7 ของวงเงินสินเชื่อ
| |
วงเงินงบประมาณ | 43,843.76 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) วงเงินสินเชื่อ 35,481 ล้านบาท (2) วงเงินจ่ายขาดเพื่อชดเชย 8,362.76 ล้านบาท แบ่งเป็น
| 45,398.81 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) วงเงินสินเชื่อ 36,232.50 ล้านบาท (2) วงเงินจ่ายขาดเพื่อชดเชย 9,166.31 ล้านบาท แบ่งเป็น
| |
รายการค่าใช้จ่ายวงเงิน (ล้านบาท)ค่าชดเชยดอกเบี้ยและต้นทุนเงิน2,088.71ค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพ ข้าวเปลือก4,500.00ค่าระบายข้าว (กรณีมีการระบาย)1,774.05รวมทั้งสิ้น8,362.76 | รายการค่าใช้จ่ายวงเงิน (ล้านบาท)ค่าชดเชยดอกเบี้ยและต้นทุนเงิน2,130.04ค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพ ข้าวเปลือก4,500.00ค่าระบายข้าว (กรณีมีการระบาย)2,536.27รวมทั้งสิ้น9,166.31 | ||
แหล่งเงิน | ให้ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป | ||
ระยะเวลาโครงการ | ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 - 31 ธันวาคม 2568 | ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2569 | |
หน่วยงานที่รับผิดชอบ | กรมการค้าภายใน กรมการข้าว กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมตรวจบัญชีสหกรณ์และ ธ.ก.ส. | ||
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร | |||
วัตถุประสงค์/เป้าหมาย | สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมข้าวเปลือกเพื่อจำหน่ายหรือเพื่อการแปรรูป และสร้างมูลค่าเพิ่ม จำนวน 1.5 ล้านตันข้าวเปลือก | ||
ผู้เข้าร่วมโครงการ | สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน | ||
วิธีการดำเนินโครงการ | - ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้แก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรับซื้อและรวบรวมข้าวเปลือกเพื่อจำหน่าย และ/หรือเพื่อการเก็บข้าวเปลือกไว้แปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่ม วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาทโดยเป็นวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน ซึ่งจำนวนสินเชื่อคงเหลือภายในระยะเวลาโครงการต้องไม่เกินวงเงิน สินเชื่อเป้าหมาย | ||
อัตราดอกเบี้ย | ร้อยละ 4.50 ต่อปี โดย - สถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี - รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกร ร้อยละ 3.50 ต่อปี | ||
วงเงินงบประมาณ | 15,656.25 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท (2) วงเงินจ่ายขาดเพื่อชดเชย 656.25 ล้านบาท | ||
แหล่งเงิน | ให้ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป | ||
ระยะเวลาโครงการ | ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 - 31 ธันวาคม 2568 | ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 - 31 ธันวาคม 2569 | |
หน่วยงานที่รับผิดชอบ | กรมการค้าภายใน กรมการข้าว กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. | ||
(3) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก | |||
วัตถุประสงค์/ เป้าหมาย | ส่งเสริมสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อกและดูดซับผลผลิตในช่วงที่ผลผลิต ออกสู่ตลาดมากและเพื่อให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสม จำนวน 4 ล้านตันข้าวเปลือก | ||
ผู้เข้าร่วมโครงการ | ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการเก็บสต๊อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ตามระยะเวลาที่เก็บสต๊อกไว้ 60 - 180 วัน นับแต่วันที่รับซื้อ | ||
วิธีการดำเนินโครงการ | ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการเก็บสต๊อกในรูปแบบข้าวเปลือกและข้าวสาร เพื่อดูดซับผลผลิตในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการผ่านธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐที่ผู้ประกอบการค้าข้าวเป็นลูกค้าอยู่ ตามมูลค่าข้าวเปลือกที่ผู้เข้าร่วมโครงการเก็บสต๊อกไว้นับแต่วันที่รับซื้อ (ออกตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเบิกเงินกู้) เพื่อรับซื้อข้าวเปลือก | ||
อัตราดอกเบี้ย | ร้อยละ 3 ต่อปี (รัฐบาลรับภาระดอกเบี้ยแทนผู้ประกอบการค้าข้าว) | ||
วงเงินงบประมาณ | 585 ล้านบาท | 624 ล้านบาท | |
แหล่งเงิน | ใช้งบประมาณจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในโอกาสแรกก่อนหากไม่เพียงพอให้ กรมการค้าภายในเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป | ||
ระยะเวลาโครงการ | ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 - 31 ตุลาคม 2569 | ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2570 | |
หน่วยงานที่รับผิดชอบ | กรมการค้าภายใน พณ. | ||
วงเงินงบประมาณที่ต้องขอรับการขุดเชยของทั้ง 3 โครงการ ที่เสนอมาในครั้งนี้ ร่วมจำนวนทั้งสิ้น 10,464.56 ล้านบาท | |||
|
|
|
|
3. พณ. ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลประกอบการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เรียบร้อยแล้ว
4. ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องกับมาตรการดังกล่าว เนื่องจากเป็นการช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับเกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้องในการเก็บสต๊อกข้าวในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันหรือในการแปรรูปข้าวเปลือกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่ราคาข้าวจะปรับลดลงและส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร ทั้งนี้ภาครัฐควรกำหนดกรอบเพดานและระยะเวลาชำระคืนเงินให้ชัดเจนและเหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบต่อสภาพคล่องของ ธ.ก.ส. นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีกระบวนการติดตามและตรวจสอบที่รัดกุม รวมทั้งควรประเมินผลการดำเนินมาตรการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้งบประมาณมีความคุ้มค่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ และเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบมาตรการในระยะต่อไป
Коментарі