top of page

"จำนำข้าว"“นายกฯ ปู” สู้ต่อ! ผ่านช่องทางธรรมชาติ!

  • รูปภาพนักเขียน: Close Up Thailand
    Close Up Thailand
  • 1 วันที่ผ่านมา
  • ยาว 8 นาที

การเมือง

คำตัดสินคดีจำนำข้าวของศาลปกครองสูงสุดที่ออกมาในวันเดียวกับการทำรัฐประหารเมื่อ11ปีที่แล้ว ส่งสัญญาณบางอย่างให้คนในแวดวงการเมืองได้นำไปคิดอย่างมีนัยยะ

1.ศาลปกครองสูงสุดเลือกตัดสินในวันที่ 22 พฤษภาคม2568 ซึ่งหากย้อนไปเมื่อ 11 ปี จะตรงกับวันที่ 22  พฤษภาคม 2557 ตรงกับวันที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในขณะนั้นประกาศยึดอำนาจ ทำรัฐประหารเงียบรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์

2.การเลือกวันเดียวกัน  ทั้งที่ใน 1 ปี มี 365 วัน คือความบังเอิญ หรือ เกิดจากความตั้งใจกันแน่  เพื่อจะสื่อนัยยะอะไรทางการเมืองประการประการหนึ่งหรือไม่?

ทั้ง365วัน จะเลือกสักวันใดวันหนึ่ง  ก็ไม่มีใครสงสัย  แต่พอมาตรงวันที่ 22 พฤษภา ไม่ตรงแค่พศ. ปัญญาชนทั่วไปก็อดตั้งคำถามไม่ได้

3.ฤาว่าประเทศไทยยังมีอะไร?ให้ค้นคว้าหาคำตอบอยู่อีกมากหลาย

   -ความยุติธรรมโดยชอบหลัก และกติกาบ้านเมือง  คือสิ่งที่ปุถุชนคนทั่วไปพึงยอมรับ

-ความยุติธรรม ที่เจือปนด้วยคำถาม ความสงสัย และข้อกังขา คือสิ่งที่พึงมีคำอธิบายอย่างแจ่มแจ้งนัก

เราลองไปติดตามนานาทัศนะ ซึ่งไม่มีเจตนาจะล่วงละเมิดคำตัดสินของศาล  หากแต่แสดงความเห็นทางวิชาการโดยสุจริตใจจากนักวิชาการทั้ง 2 ท่าน  และท่าทีฝ่ายที่แลเห็นว่า จะใช้ช่องทางใด? ในการต่อสู้ต่อไปในการแสวงหาความยุติธรรม  (ลองไปติดตาม)


ทีมทนายอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ เตรียมยื่นหลักฐานใหม่ขอเปิดคดีจำนำข้าวอีกครั้ง หลังศาลปกครองสูงสุดสั่งชดใช้ค่าเสียหายกว่า 10,000 ล้านบาทจากการระบายข้าวแบบ G2G โดยมีหลักฐานใหม่ คือการขายข้าว 18.9 ล้านตัน ได้เงินกว่า 140,000 ล้านบาท ซึ่งอาจหักลบกลบหนี้ทั้งหมด ทำให้อดีตนายกฯ อาจไม่ต้องชดใช้เงินเลย

.

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ที่สำนักงานศาลปกครอง นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้ได้รับมอบจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า

.

จากคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เปรียบเทียบกับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง สิ่งที่เหมือนกัน คือ

.

“ตามคำสั่งของกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ที่มีคำสั่งให้ท่านนายกยิ่งลักษณ์ รับผิดในอัตราร้อยละ 20 ของเงินจำนวน 178,586,365,140 คิดเป็นเงินจำนวน 35,717,273.715.23 บาท อ้างว่า เป็นความเสียหาย จากผลการขาดทุนในการดำเนินการ โครงการรับจำนำข้าว ปีการผลิต 2555/56 และ 2556/57 บาท นั้น ในส่วนนี้ทั้งสองศาลเห็นตรงกันว่า “ ท่านนายกยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธาน กขช. ยังไม่ถึงขนาดที่จะเป็นการจงใจ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงไม่ต้องรับผิด ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด พ.ศ. 2539 มาตรา 10 ประกอบมาตรา 8 ”

.

ในส่วนที่แตกต่าง และเพิ่มเข้ามา คือในส่วนของศาลปกครองสูงสุดที่ให้ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 10,000 กว่าล้านบาท ซึ่งระบุว่า เป็นความเสียหายที่เกิดจาก การทุจริตในขั้นตอน “ของการระบายข้าวแบบ รัฐต่อรัฐ (G TO G )

.

1. ในขั้นตอนการระบายข้าว นั้น จะเห็นได้ว่า อยู่ในส่วนขั้นตอนของฝ่ายปฏิบัติ ซึ่งอยู่ในความดูแลและรับผิดชอบของคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในขณะนั้น เป็นประธานอนุกรรมการฯ

.

2.ในคดีอาญาเกี่ยวกับคดีทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว แบบรัฐต่อรัฐ( G TO G ) ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง นั้น จะเห็นได้ว่า ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ถูกฟ้องให้เป็นจำเลยในคดีดังกล่าวด้วย

.

3. ส่วนตามคำสั่งของกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ที่ให้ท่านนายกยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โครงการรับจำนำ ปีการผลิต 2555/56 และ 2556/57 ในอัตราร้อยละ 20 ของ จำนวน 178,586,365,140 บาท นั้น ไม่ได้นำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (หรือG to G) มาเป็นฐานในการออกคำสั่ง ให้ท่านนายกยิ่งลักษณ์ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

.

ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ในฐานะทนายความ จึงมีข้อสังเกตว่า คำพิพากษาในส่วนนี้ ที่พิพากษาให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 10,000 กว่าล้านบาทนั้น เป็นการพิพากษาที่เกินคำขอหรือไม่

.

ที่ว่า “เกินคำขอหรือไม่” นั้น ด้วยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (หรือG to G) นั้น มิได้ปรากฏเป็นฐานในการออกคำสั่ง ของกระทรวงการคลัง ตามคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ให้ท่านนายกยิ่งลักษณ์ รับผิด แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังที่มีการออกคำสั่งของกระทรวงการคลังแล้ว

.

อย่างไรก็ดี แม้ว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษา ให้ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน จำนวน หมื่นกว่าล้านบาท ก็ตาม

.

แต่หากพิจารณาตามคำสั่งที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ที่ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้ระบุไว้ว่า “ หากทางราชการมีการระบายข้าวได้ ในราคาที่สูงกว่าราคาที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีในโครงการรับจำนำข้าว นำมาคำนวณเป็นมูลค่าคงเหลือ ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ให้นำมาหักคืนให้แก่ ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ได้

.

เป็นที่ทราบกันดี ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ซึ่งเป็นวันที่มีการรัฐประหาร มีข้าวคงเหลือในคลังหรือโกดัง ประมาณ 18.9 ล้านตัน หากขายข้าวในราคาตลาดตามปกติ จะได้ราคา ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัม 25 บาท

.

ฉะนั้น ข้าว 18.9 ล้านตัน หากขายได้ในราคา กิโลกรัมละ 25 บาท จะเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 250,000 ล้านบาท ซึ่งหากนำมาหักทอน กับค่าสินไหมทดแทนจำนวน 10,000กว่าล้านบาท ตามคำพิพากษา ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ฯ ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้

.

แต่น่าเสียดายในรัฐบาลยุคก่อน ในช่วงปี 2558 -2562 ได้นำข้าวดีไปจัดเกรดเป็น A, B ,C ขายข้าวดี เป็นข้าวเน่า ขายกิโลกรัมละ 3 บาท 5 บาทเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากเมื่อไม่นานมานี้ ท่านภูมิธรรมฯ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ได้ขายข้าวที่เก็บไว้ในโกดัง ที่จังหวัด สุรินทร์ แม้จะเป็นข้าวที่เก็บมาเป็นเวลา 10 ปี แล้วก็ตาม แต่ก็ยังสามารถ ขายได้ในราคากิโลกรัมละ 18 บาท

.

ปัจจุบัน ทราบว่า ข้าว 18.9 ล้านตันนั้น ได้มีการขายข้าว เสร็จสิ้นแล้ว ได้เงินประมาณ 140,000 กว่าล้านบาท ทีมทนายพยายามที่จะนำข้อเท็จจริงนี้เข้าสู่สำนวนในคดีนี้ แต่ไม่สามารถนำเข้าได้ เนื่องจาก ศาลปกครองสูงสุดได้กำหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดจึงไม่มีข้อเท็จจริงในส่วนนี้

.

การขายข้าว 18.9 ล้านตันนั้น เป็นหลักฐานใหม่ ที่จะนำไปสู่การขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดี หรือมีคำสั่งชี้ขาดใหม่ได้ ภายใน 90 วัน ตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

.

พยานหลักฐานใหม่นี้ ยังไม่ได้นำเข้าสู่การพิจารณาพิพากษาในคดีนี้ เนื่องจากเป็นพยานหลักฐานที่เกิดหรือมีขึ้นภายหลังการสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงของศาลแล้ว เชื่อว่าพยานหลักฐานใหม่นี้ หากได้นำไปประกอบการพิจารณาคดีใหม่ หรือนำเงินที่ขายได้ไปหักทอนกับเงินจำนวน 10,000 กว่าล้านบาท ตามคำพิพากษาแล้ว จะทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญอย่างแน่นอน

.

ในส่วนนี้ ทีมทนายจะได้ดำเนินการยื่นต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ ภายใน 90 วัน ตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ทั้งนี้ เพื่อให้ ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ได้รับความเป็นธรรม ทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ตามกระบวนการทางกฎหมายจนกว่าจะสิ้นกระแสความ

.

"สุดท้ายนี้ ผมขอเรียกร้องไปยังทุกฝ่ายให้ยุติการใส่ร้าย หรือนำเรื่องนี้มาโจมตีกัน และขอได้โปรดเห็นใจ ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ซึ่งในขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น จะเห็นได้ว่า ท่านก็ได้อุทิศตน ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ปัญหา มหาอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ หรือดำเนินโครงการต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน จึงขอความเป็นธรรมให้กับท่านนายกยิ่งลักษณ์ด้วย"ทีมทนายอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์


ขณะอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกชดใช้ค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวได้โพสต์ ผ่านเฟสบุกส์ชื่อ


"เรียน พี่น้องประชาชนที่เคารพ

วันที่ 22 พฤษภาคมปีนี้ เป็นวันครบรอบ 11 ปี รัฐประหาร ซึ่งถือเป็นการยึดอำนาจอธิปไตยของประชาชนทั้งประเทศ และเป็นวันที่ศาลปกครองสูงสุด อ่านคำวินิจฉัยให้ดิฉันต้องชดใช้หนี้กว่า 10,000 ล้านบาท จากคดีระบายข้าว ทั้งที่ดิฉันไม่ได้เป็นจำเลยในคดีนี้ และศาลปกครองกลางได้เคยวินิจฉัยว่าดิฉันไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายในกรณีดังกล่าวมาแล้ว

จากคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดในวันนี้ ทำให้ดิฉันต้องชดใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ความเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารที่ต้องมารับภาระหนี้ที่เกิดจากการระบายข้าวของฝ่ายปฏิบัติ โดยที่ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการเหล่านั้นแต่อย่างใด และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็พิพากษาในคดีของดิฉันว่า ปล่อยปละละเลยในการบริหารโครงการรับจำนำข้าวเท่านั้น

นโยบายรับจำนำข้าว เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย และเป็นนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภา ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องปฏิบัติ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศจากฐานราก ผ่านการจับจ่ายใช้สอยของครอบครัวชาวนา กว่า 20 ล้านคน มีเจตนาช่วยเหลือให้พี่น้องชาวนาได้ลืมตาอ้าปาก สามารถยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น

รัฐบาลของดิฉันมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือชาวนาที่อยู่อย่างยากจนแร้นแค้น ให้ขายผลผลิตได้ในราคาสูง มีกิน มีใช้ มีเงินเหลือส่งลูกหลานเรียนหนังสือจนจบ ซึ่งที่ผ่านมามีครอบครัวชาวนาได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวเป็นจำนวนมาก แต่หากการดำเนินนโยบายแบบนี้ กลับถูกกล่าวหาว่าทำให้เกิดความเสียหาย ต่อไปใครจะกล้าคิดนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เข้าไม่ถึงโอกาสทางเศรษฐกิจได้อีก

ดิฉันไม่มีเจตนาจะทำให้โครงการเสียหาย การดำเนินโครงการแต่ละขั้นตอน เกี่ยวข้องกับหน่วยงานและบุคลากรหลายฝ่าย มีลำดับขั้นการบังคับบัญชาตามระบบราชการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่หัวหน้าฝ่ายบริหารจะไปก้าวก่ายแทรกแซงในรายละเอียดได้ แต่ดิฉันกลับต้องรับผิดชอบกับความเสียหายเพียงลำพัง หากจะบอกว่าสิ่งนี้คือความเป็นธรรม ก็เป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่งที่ดิฉันจะเข้าใจและยอมรับได้

หนี้ 10,000 ล้านบาท ชดใช้ทั้งชีวิต ยังไงก็ไม่มีวันหมดค่ะ การทุ่มเททำงาน แบกรับแรงเสียดทานทั้งทางการเมืองและอีกหลายรูปแบบ เพื่อค้ำยันราคาข้าวให้สูงและมีเสถียรภาพ เพื่อพี่น้องชาวนาได้มีชีวิตที่ดีกว่า พลิกผืนนาเป็นพื้นที่แห่งโอกาสของครอบครัว กลับมีบทสรุปที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับดิฉัน

โครงการรับจำนำข้าวเป็นการกระทำทางการบริหารร่วมกันเป็นคณะกรรมการ การตัดสินให้ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ยังมีคำถามว่ามีอยู่จริงหรือไม่ เพราะหลังรัฐประหารก็มีข่าวว่ารัฐบาลเวลานั้นเอาข้าวดีไปขายเป็นข้าวเน่า

ข้าวที่เหลือในโกดัง 18.9 ล้านตัน ถูกขายในราคาต่ำกว่าที่ควรจะได้รับ คิดเป็นมูลค่าส่วนต่างนับ 100,000 ล้านบาท แต่ไม่ปรากฏความคืบหน้าของการตรวจสอบ และหาคนรับผิดชอบไม่ได้จนปัจจุบัน

ตลอดเวลา 11 ปี นับตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 สิ่งที่ดิฉันจำต้องพบเจอซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือ ยึดอำนาจ ยัดคดี อายัดทรัพย์ และเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมาบังคับให้ใช้หนี้

ความรู้สึกแบบนี้ไม่เกิดขึ้นกับตัวเองก็คงไม่มีใครรู้ แต่ถึงกระนั้นดิฉันก็จะเรียกร้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในชีวิต จนถึงที่สุดตามกฎหมายที่พึงกระทำได้

ถ้านายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ยังไม่อาจเข้าถึงความยุติธรรมที่แท้จริง ก็ไม่มีหลักประกันใดๆ สำหรับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเช่นกันค่ะ"




(นานาทัศนะ)


ผลการตัดสิน ของ ศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 10,028,861,880 บาท แก่กระทรวงการคลัง ในคดีที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว โดยเฉพาะในส่วนของการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G)


ศาลเห็นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้ละเลยหน้าที่โดยไม่ติดตามการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด แม้จะได้รับคำเตือนและข้อเสนอแนะจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินและหน่วยงานอื่น ๆ ว่าโครงการมีความเสี่ยงต่อการทุจริต แต่ยังคงดำเนินโครงการต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวถือเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายต่อรัฐ

ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองกลางเคยมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 35,717,273,028 บาท โดยเห็นว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเธอเป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหายโดยตรง อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุดได้กลับคำพิพากษาดังกล่าว โดยพิจารณาให้ชดใช้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 50 ของความเสียหายที่เกิดขึ้นในขั้นตอนดังกล่าว


คำพิพากษานี้ถือเป็นการยุติคดีในชั้นศาลปกครองสูงสุด และมีผลผูกพันตามกฎหมาย



(ดร.กิตติ-ลิ่มสกุล)


เรียน สาธารณชน และ ชาวนา


ผมคิด ว่า การตัดสิน น่าจะ ไม่ได้ ให้ ความ ยุติธรรม แก่ นส ยิ่งลักษณ์ครับ เพราะ ผมเคย ขึ้นศาล แผนก คดี อาญา ผู้ดำรง ตำแหน่ง

ทาง การเมือง เพื่อ เป็น พยานปากสุดท้าย คดี จำนำข้าว พบว่า


1. นโยบาย จำนำ ฯ ไม่ มี ผล เสียต่อ ตลาดข้าว เนื่องจากข้าวเปลือก ส่วนใหญ่ ยังอยู่ ใน มือ ชาวนา เพราะ ชาวนาคาดว่า ราคาจะขึ้น จากนโยบาย จึงถือครองตามสภาวะตลาดปกติ


2. ผู้ส่งออก หาข้าว ส่งตลาด ล่วงหน้าไม่ได้ จึงดิ้นรน ล้ม นโยบาย จน สำเร็จ

3. ข้าว สารในโกดัง ในยุค รัฐบาล

ทหาร ยัง มี สภาพดี แต่ รบ ทหาร แอบขาย ในราคา อาหารสัตว์ ที่มีส่วนต่าง มาก เกิน ควร จน อนุมานได้ ว่า หาก ปล่อย ให้ โครงการฯ เดินหน้า จน สิ้น จะ ขายข้าวที่ สต๊อกไว้ ในราคา ตลาด จนสามารถ เพิ่ม รายได้ และ หัก ลด บัญชี รายจ่ายได้


4. เงิน งบประมาณ สำหรับ อุดหนุน นโยบาย จำนำ ฯ เป็น income transfer อุดหนุน ชาวนา ที่ ทุกรัฐบาล ทำ เหมือนกัน รัฐบาล ปชป อุดหนุน รายได้ ชาวนา และ ใช้ เงินโอน ในโครงการนี้ กว่าแสน ล้าน บาท ขณะ ที่ พท ใช้ ใกล้เคียง หรือ น้อยกว่า มาก หาก ไม่ มี รัฐประหาร การถูกหา ว่า เสียหาย? ต่อรัฐ จึง ควร ให้ ความเป็นจริง ปรากฏ ทางหลัก วิชา


5. มี อีก หลาย เรื่อง ที่ ไม่ยุติธรรม ต่อ ท่าน อดีต นายก ฯ ที่ ไม่กล่าว ณ ที่นี้

แต่ เรื่อง ที่ รัฐบาลสั่ง ให้ คลัง บีบ ให้ ชดใช้ จำนำข้าว และ G-G ไม่ยุติธรรม แน่ๆ


6. ถ้า ปล่อยให้ โครงการรับจำนำข้าว เดินจนจบตามครรลอง ปชต แทนที่จะ ขาด ทุน ….ล้าน? (ไม่น่าจริง) อาจ ไม่ ขาด ทุน เพราะ ราคา ข้าว ขึ้น หลังจากนั้น เอา ที่อยู่ ใน โกดังไปขาย ได้


ส่วนที่ ขาด ไป xxxxล้าน คือ การอุดหนุน ชาวนา ซึ่ง น้อย กว่า ที่ ปชป ใช้ กว่า มาก


7. สรุป นโยบาย จำนำ ไม่ ผิด และ

การปฎิบัติ เป็นไปตาม การบริหารราชการ ที่ดี (คำตัดสินของ ศาล

อาญา ฯ นักการเมือง) และ จะไม่ขาดทุนตามที่ กล่าวหา ลอยๆ


ตามที่ผม พนากรณ์ จะ มี รายรับ เหนือรายจ่าย หาก ชำระ บัญชี เมื่อสิ้นโครงการ ตาม ธรรมชาติ


ในการนี้ นางสาว ยิ่งลักษณ์ทจึง

ไม่ต้องชด ใช้ ค่าเสียหาย ดังกล่าว แต่ อย่างใด และ ศาล ควรต้องคืน ความยุติธรรม ให้ ท่านมากกว่าครับ


8. กรณี ขายข้าว รัฐบาล G-G ของกระ ทรวงพาณิชย์


คดี G-G ปธ กขช คือ นางสาว ยิ่งลักษณ์ ท่านได้ มี การสั่งการ ให้ เจ้าหน้า ที่ ผู้ปฏิบัติ ดำเนินการด้วย ความรอบครอบแล้ว ครับ

สรุป ง่ายๆ คือ นส ยิ่งลักษณ์ ได้ ทำหน้าที่ ระธาน ตามสมควรแล้ว ศาลปกครองกลาง จึง ตัดสิน ว่า ไม่ ปรากฏหลักฐาน ว่า ท่าน เป็น ผู้ มี ส่วน ร่วม กระทำผิด …ยกคำร้อง ของ

กระทรวงการคลัง


การ ที่ ศาล ปกครอง สูงสุด กลับคำพิพากษาฯ และ ให้ท่าน ชดใช้จึงน่าจะ ต้อง มี เหตุอันควร ที่หนักแน่น จนเชื่อได้ ว่า นส ยิ่งลักษณ์ มี ส่วน ได้ จากการกระทำ ? และ ปล่อย ปะละเลย จริงๆ?


การยึด บ้าน โดย คำสั่ง ศาลฯ ที่ กระทรวงการคลัง ทำการขายทอดตลาด ก่อนที่ จะ มี เรื่อง ยุติ ใน ด้าน นโยบาย จำนำข้าว โดยศาล อาญา ฯ การเมือง จึง

ขาด ขั้นตอน ที่ ยุติธรรม และ ไม่ได้ สัดส่วน กับ ความผิด ถ้า มี ที่ต้องพิสูจน์ ก่อน ขายทอดตลาด ฯ


ถ้า บริหารกันด้วย rule of laws ?


9. ผม ไม่ เคย รู้จัก นส ยิ่งลักษณ์ มาก่อน ไม่ มี ส่วนได้เสีย จนท่าน ขอ ให้ ผม กลับจากญี่ปุ่น มาขึ้นศาล เนื่องจาก เป็นนักเศรษฐศาสตร์ และ เป็นพยาน ปากสุดท้าย ผมได้ คำนวณ ผลได้ ต้นทุน และ สรปว่า นโยาย ขำนำข้าว มีผลได้ ต่อ ชาวนา และ ตลาดข้าว โดย มีต้น ทุน ตาม ปรกติ ในการอุดหนุน ทางงบ เช่น ทุก รัฐบาล และ ศาล (อาญา นักการเมือง) ก็ ได้ ตัดสิน ในแนวนั้น ท่าน ยิ่งลักษณ์ และ รัฐบาย

มี นโยบายมที่เป็น ปรกติ ต่อ ชาวนา และ ประเทศ


ผม ไม่เกี่ยว กับ G-G ครับ แต่ ก็เชื่อว่า ท่าน อดีต นายก ไม่ มี ส่วน เกี่ยว และ ท่าน ได้ ใช้ การ บริหาร ราชการ ฯ ที่ ควร แก่ เหตุ แล้ว โดย ทำตาม คำ ชี้แนะ ของกรมบัญชีกลาง ฯลฯ แล้ว ดังหลักฐาน ปรากฏ (ศาลปกครอง กลาง ตัดสิน ก่อนหน้า)


ผมจึงเห็น ว่า การตัด สินของศาล ปกครอง สูงสุด ขาดความเชื่อมโยงกับ ข้อเท็จจริงตามควรแก่หลักความยุติธรรม พื้นฐาน ดังเป็น ที่ปรากฏ จาก หลักฐานมเชิง ประจักษ์ และ ข้อเท็จจริง ต่างๆ


ขอให้ สาธารณะ ให้ ความยุติธรรม ปรากฏ แก่ นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรประธาน กขช และ นายกรัฐมนตรี และ ขอบันทึกไว้เป็น ประวัติศาสตร์ เพื่อ คนรุ่นหลัง ช่วย ให้ ความยุติธรรม แก่ ท่าน อดีต นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ด้วย "ดร กิตติ ลิ่มสกุล


-----

โพสต์แสดงความเห็นเรื่องนี้

·



[ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดี “จำนำข้าว”]

วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ครบรอบ 11 ปี รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ศาลปกครองสูงสุดได้อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อผ. 160-163/2568 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 พิพากษาเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นบางส่วน และแก้คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น สรุปความได้ว่า คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (อดีตนายกรัฐมนตรี 2554-2557) ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายจากโครงการจำนำข้าว จำนวน 10,028,861,880.83 บาท (“ประมาณ 10,029 ล้านบาท”)

โดยศาลพิจารณาและให้เหตุผลประกอบ ดังนี้

1. ศาลแบ่งแยกโครงการรับจำนำข้าวเปลือก เป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก การดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวเปลือก ส่วนที่สอง การปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบาย

โดยศาลเห็นว่า ในส่วนแรกนั้นเป็นการดำเนินในระดับนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา เป็นเรื่องทางการเมือง ต้องถูกตรวจสอบโดยการตั้งกระทู้ถามหรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ถือเป็น “เจ้าหน้าที่” ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ซึ่งในส่วนแรกนี้ นายกรัฐมนตรีไม่ต้องรับผิดทางละเมิดแต่อย่างใด ในส่วนที่สอง เป็นกรณีที่นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามกฎหมายเพื่อให้นโยบายรับจำนำข้าวบรรลุผล ซึ่งถือเป็น “การกระทำทางปกครอง” ไม่ใช่การดำเนินการในส่วนนโยบาย จึงถือเป็น “เจ้าหน้าที่” ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 อันอาจมีความรับผิดทางละเมิดได้

(ดูคำพิพากษา หน้า 109-113)

2. ส.ต.ง.และ ป.ป.ช. ได้แจ้งผลการตรวจสอบต่อนายกรัฐมนตรี “สอดคล้องต้องกันโดยสรุปว่า โครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย ก่อให้เกิดความสูญเสียงบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนมาก มีการทุจริตเชิงนโยบายเกิดขึ้นในหลายขั้นตอน ขอให้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะและข้อสังเกตต่อไปด้วย” แต่นายกรัฐมนตรีมิได้ดำเนินการใดๆ

แม้นายกรัฐมนตรีตั้งคณะอนุกรรมการแล้ว “แต่ก็มิได้ติดตามให้คณะอนุกรรมการรายงานผลการดำเนินการให้ทราบว่า มีปัญหาในการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามที่ได้รับรายงานจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและสำนักงาน ป.ป.ช.หรือไม่” และยังมีการตั้งกระทู้ถามและการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยกล่าวหาและมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการทจริตในการระบายข้าวด้วยวิธีการขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)

จึงถือว่า นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ “ได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการตามนโยบายรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาลว่า มีปัญหาการทุจริตทุกขั้นตอน” แต่ก็มิได้สั่งการให้คณะอนุกรรมการดำเนินการตรวจสอบว่ามีปัญหาการทุจริตหรือไม่

จึงเป็นกรณีที่ “ไม่คำนึงถึงข้อทักท้วงและข้อเสนอของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินการตามโครงการต่างๆของรัฐ รวมทั้งการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด” แต่กลับปล่อยให้ดำเนินโครงการต่อไป จึงถือได้ว่า “ปล่อยปละละเลย ไม่ใช้อำนาจหน้าที่ของตนเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาการทุจริต จึงเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการกระทำการทุจริตได้โดยง่าย” เป็นการที่คุณยิ่งลักษณ์ ละเมิดต่อกระทรวงการคลัง ทำให้ได้รับความเสียหายตาม ป.พ.พ.มาตรา 420

(ดูคำพิพากษา หน้า 121)

3. ศาลอธิบายว่า โครงการรับจำนำข้าวเปลือก มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1.การตรวจสอบคุณสมบัติและรับรองเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 2.การนำข้าวเปลือกไปจำนำและเก็บรักษา 3.การสีแปรสภาพข้าวเปลือกและเก็บรักษาข้าวสาร 4. การระบายข้าวด้วยวิธีการขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)

ศาลเห็นว่าในสามขั้นตอนแรก ซึ่งเป็นขั้นตอนในการจำนำข้าวเปลือกนั้น แม้มีความเสียหายเกิดขึ้น แต่พฤติการณ์ของการกระทำของคุณยิ่งลักษณ์ ยังไม่ถึงขนาดเป็นความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงที่จะทำให้กระทรวงการคลังเสียหาย คุณยิ่งลักษณ์จึง “ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายอันเกิดจากการทุจริตในขั้นตอนการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีปีการผลิต 2555/2556 และปีการผลิต 2556/2557”

(ดูคำพิพากษา หน้า 122)

4. ศาลเห็นว่า ในขั้นตอนที่ 4 การระบายข้าวด้วยวิธีการขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ที่มีการทุจริตเกิดขึ้นนั้น คุณยิ่งลักษณ์ได้รับทราบปัญหา “แต่ไม่ได้มีการติดตามกำกับดูแลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกให้มีประสิทธิภาพตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้อย่างเต็มความสามารถ โดยเฉพาะในการติดตามดูแลหรือตรวจสอบการทุจริตการระบายข้าวตามสัญญาซื้อขายกรณีการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) อย่างใกล้ชิด” ประกอบกับ คุณยิ่งลักษณ์ในฐานะประธาน กขช. ได้เข้าร่วมประชุมเพียงครั้งเดียว จึงเห็นได้ว่า “ยังคงละเว้น เพิกเฉย ละเลย ไม่ติดตาม หรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินงานตรวจสอบ”

ศาลเห็นว่า โดยวิสัย คุณยิ่งลักษณ์ต้องเล็งเห็นได้ว่า การดำเนินโครงการนี้มีความเสียหายเกิดขึ้นชัดเจนแล้ว จึงควรพิจารณาตามข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่างๆที่ปรากฏในหนังสือทักท้วงของหน่วยงานตรวจสอบ แต่กลับเพิกเฉย จนมีการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีการขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ส่วนนี้ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้กระทรวงการคลังเสียหาย คุณยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

(ดูคำพิพากษา หน้า 123)

5. ศาลนำความเสียหายจากสัญญาซื้อขาย 4 ฉบับที่มีปัญหาการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีการขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) มาพิจารณากำหนดค่าสินไหมทดแทน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 20,057,723,761.66 บาท (ประมาณ 20,058 ล้านบาท)

(ดูคำพิพากษาหน้า 124-125)

6. ศาลเห็นว่า พิจารณาจากระดับความร้ายแรงของการกระทำและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีแล้ว ไม่เห็นควรที่จะหักส่วนแห่งความรับผิด

(ดูคำพิพากษา หน้า 125-126)

7. ศาลเห็นว่า กรณีนี้ ความเสียหายจากการระบายข้าวด้วยวิธีการขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) มีผู้กระทำละเมิดหลายคน ต้องหักส่วนความรับผิดของแต่ละคนออก โดยศาลกำหนดให้คุณยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดจำนวน 10,028,861,880.83 บาท (“ประมาณ 10,029 ล้านบาท”) หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของจำนวนมูลค่าความเสียหาย

(ดูคำพิพากษา หน้า 127)

.

ผมขอแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงกับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ดังนี้

1. การดำเนินการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากคุณยิ่งลักษณ์ ในความเสียหายที่เกิดจากโครงการจำนำข้าว ตั้งแต่หลังรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 ไปจนถึงการออกคำสั่งของกระทรวงการคลังในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 และการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางนั้น มีความสัมพันธ์กับรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 ส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นกลางของผู้ออกคำสั่งทางปกครอง จนทำให้องค์กรผู้ใช้ดุลพินิจออกคำสั่งเรียกค่าสินไหมทดแทนมีความเป็นปฏิปักษ์กับคู่กรณี

2. การพิจารณาว่า “เจ้าหน้าที่” ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดแก่รัฐหรือหน่วยงานหรือไม่ ต้องพิจารณาจาก พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ประกอบกับ ป.พ.พ.มาตรา 420 เรื่องละเมิด ซึ่งมีองค์ประกอบ 4 ประการ ได้แก่ 1. เจ้าหน้าที่กระทำหรือละเว้นการกระทำ 2. การกระทำหรือละเว้นการกระทำนั้นเกิดจากเจ้าหน้าที่จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง 3. มีความเสียหายเกิดขึ้นแก่หน่วยงาน 4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำหรือละเว้นการกระทำกับความเสียหายที่เกิดขึ้น (causation)

ในส่วนที่เป็นการตัดสินใจทางนโยบายว่าจะดำเนินการโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งศาลเห็นว่าในส่วนนี้เป็นการกระทำทางการเมืองโดยแท้ เป็นเรื่องความรับผิดชอบทางการเมือง ผ่านกระบวนการตรวจสอบทางการเมือง เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ และการตั้งกระทู้ถาม ไม่ใช่เป็นการกระทำทางปกครอง ที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาลปกครอง ไม่ได้กระทำการในฐานะ “เจ้าหน้าที่” ตามกฎหมายปกครอง ไม่อยู่ในขอบเขตความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ในส่วนนี้ ผมเห็นด้วยกับศาลปกครองสูงสุด

แต่ในส่วนของกรณีที่นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามกฎหมายเพื่อปฏิบัติตามนโยบาย และใช้อำนาจในฐานะเป็นประธานคณะกรรมการ กขช. ซึ่งถือเป็น “เจ้าหน้าที่” ตามกฎหมายปกครองนั้น ศาลเห็นว่า คุณยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายอันเกิดจากการทุจริตในการระบายข้าวแบบ G to G ในส่วนนี้ ผมไม่เห็นด้วยกับศาลปกครองสูงสุด เพราะ การระบายข้าวแบบ G to G เป็นเรื่องของกระทรวงพาณิชย์และการปฏิบัติในระดับเจ้าหน้าที่ ในขณะที่คุณยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบในระดับนโยบาย และนายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบแล้ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำของคุณยิ่งลักษณ์

3. ในคดีนี้ประเด็นพิพาท คือ คำสั่งของกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ให้คุณยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 35,717,273,715.23 บาท (ประมาณ 35,717 ล้านบาท) ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ วัตถุแห่งคดีที่ต้องพิจารณาคือ “คำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559”

ในการพิจารณาออกคำสั่งกระทรวงการคลัง 1351/2559 นั้น ยืนยันว่า คุณยิ่งลักษณ์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/2555 และนาปรัง ปี 2555 แต่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในปี 2555/2556 และปี 2556/2557 จะเห็นได้ว่า กระทรวงการคลังไม่ได้นำข้อเท็จจริงกรณีความเสียหายในปี 2554/2555 มาเป็นฐานในการออกคำสั่งกำหนดค่าสินไหมทดแทนแต่อย่างใด

แต่ปรากฏว่า ศาลปกครองสูงสุดได้นำกรณีความเสียหายจากการทุจริตในการระบายข้าวแบบ G to G ตามสัญญา 4 ฉบับ ซึ่งเป็นกรณีข้าวปีการผลิต 2554/2555 (โดยข้อเท็จจริงเรื่องทุจริตนี้ปรากฏในคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ได้อยู่ในคำสั่งกระทรวงการคลัง) มากำหนดค่าสินไหมทดแทนในคดีนี้ กรณีจึงเป็นการนำข้อเท็จจริงอื่นที่ไม่ได้เป็นมูลเหตุ (ในวิชากฎหมายปกครอง เราเรียกว่า motif) ในการออกคำสั่ง มาพิจารณาว่า คำสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

(ดูความเห็นแย้งของตุลาการเสียงข้างน้อยได้ในหน้า 170)

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อเท็จจริงเรื่องการทุจริตในการระบายข้าวแบบ G to G ก็ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ออกมาภายหลังจากคำสั่งกระทรวงการคลังด้วย

4. ในคดีปกครองในศาลปกครองนี้ เป็นการพิจารณา ความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งกระทรวงการคลัง และความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่อันเกิดจากการลงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ซึ่งใช้ ป.พ.พ.มาตรา 420 และ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ในขณะที่การพิจารณาคดีอาญาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นการพิจารณาความผิดทางอาญาตามมาตรา 157 และความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งเป็นคนละเรื่อง คนละประเด็น มาตรวัดทางกฎหมายไม่เหมือนกัน องค์ประกอบความผิดตามกฎหมายไม่เหมือนกัน ระดับความเข้มข้นของความผิดทางละเมิดกับทางอาญาก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่สามารถหยิบเอาประเด็นในคดีอาญามาใช้ประกอบได้

5. การพิจารณาว่า “นายกรัฐมนตรี” เป็น “เจ้าหน้าที่” ใช้อำนาจตามกฎหมาย ปฏิบัติหน้าที่ ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือไม่นั้น จำเป็นต้องพิจารณาโดยยึดวัตถุประสงค์ของกฎหมายความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ให้กล้าตัดสินใจกระทำการ (ดูได้จากหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ) เป็นสำคัญ

หากศาลพิจารณาโดยใช้เทคนิควิธี “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ชนิดที่ว่า โยงกันตั้งแต่

[รัฐเสียหาย --- เสียหายจากการทุจริต --- การทุจริตในการระบายข้าวแบบ G to G --- การระบายข้าวแบบ G to G อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐมนตรีพาณิชย์และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ --- นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารต้องรับผิดชอบ --- ส.ต.ง. และ ป.ป.ช. ท้วงแล้ว สื่อลงข่าวแล้ว ส.ส.ฝ่ายค้านอภิปรายแล้ว ยังไม่หยุด --- เป็นประธาน กขช. แต่กลับไม่เข้าประชุม ]

=

[นายกรัฐมนตรีประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริต]

เช่นนี้แล้วล่ะก็ ต่อไป นายกรัฐมนตรีประเทศนี้จะไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้เลย ไม่สามารถนำนโยบายที่รณรงค์หาเสียงมาปฏิบัติได้เลย เพราะ หากมีใครไม่เห็นด้วยกับนโยบาย ทักท้วงขึ้นมา นายกรัฐมนตรีก็ต้องหยุดทันที และหากบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่อยากต้องรับผิด ถูกดำเนินคดี วิธีการปลอดภัยที่สุด คือ ไม่คิด ไม่เสนอสิ่งใหม่ ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องเสี่ยงใดๆทั้งสิ้น ปล่อยให้ระบบราชการทำกันไปตามแต่ละวัน นายกรัฐมนตรีก็จะแปลงสภาพกลายเป็น “ปลัดประเทศ” ไปในที่สุด

ต้องไม่ลืมว่า นโยบายดีหรือไม่ดี คุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า ย่อมมีคนเห็นแตกต่างกัน นโยบายหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์ คนอีกกลุ่มหนึ่งเสียประโยชน์ นโยบายหนึ่ง สอดคล้องกับวิธีคิดทางสำนักเศรษฐศาสตร์ของคนกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่สอดคล้องกับวิธีคิดทางสำนักเศรษฐศาสตร์ของคนอีกกลุ่มหนึ่ง การประเมินว่าการดำเนินนโยบายนี้ สร้างความเสียหายให้กับรัฐ หรือเสี่ยงต่อการทุจริต ก็มีคนมองได้ต่างกัน ดังนั้น ต้องปล่อยให้ตัดสินใจกันในทางการเมือง รับผิดชอบกันในทางการเมือง ไม่สมควรให้นักวิชาการบางกลุ่มหรือองค์กรอิสระมาเป็นดัชนีชี้วัดว่านโยบายไหนทำได้หรือทำไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้ว ต่อไป เพียงแค่ องค์กรอิสระหรือนักวิชาการทำหนังสือแสดงความไม่เห็นด้วยและสันนิษฐานว่าอาจเกิดทุจริตได้หรือมี ส.ส.ฝ่ายค้านอภิปรายแล้ว ก็เท่ากับว่า รัฐบาลต้องยุติการดำเนินนโยบายทันที สรุปแล้ว ใครเป็นรัฐบาลกันแน่?

ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ผมมีความเห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น (ให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้คุณยิ่งลักษณ์ชดใช้ 30,000 กว่าล้านบาท) และไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด (ให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังบางส่วน และคุณยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้อีกประมาณ 10,029 ล้านบาท)

ผมเห็นว่า กรณีนี้ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพราะ ความเสียหายที่จากการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวเกิดจากระดับปฏิบัติในชั้นเจ้าหน้าที่ นายกรัฐมนตรีไม่ได้ละเว้นการกระทำ แต่ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบติดตามแล้ว นายกรัฐมนตรีไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ปล่อยให้มีการทุจริต และความเสียหายที่เกิดขึ้นอยู่ห่างไกลและไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำของนายกรัฐมนตรี การนำความเสียหายจากการทุจริตการระบายข้าวแบบ G to G มาใช้เป็นฐานในการกำหนดค่าสินไหมทดแทน เป็นการนำข้อเท็จจริงที่ไม่ได้เป็นมูลฐานในการออกคำสั่งของกระทรวงการคลังมาใช้พิจารณา

.

ข้อสังเกตที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีนี้ มีตุลาการศาลปกครองสูงสุด ลงชื่อในคำพิพากษา 5 คน ได้แก่ ไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ (ตุลาการเจ้าของสำนวน), พงษ์ศักดิ์ กัมพูสิริ, สมยศ วัฒนภิรมย์, สมภพ ผ่องสว่าง, ฉัตรชัย นิติภักดิ์ (ดูคำพิพากษา หน้า 136) โดยมีตุลาการทำความเห็นแย้งใน 4 ประเด็น

ประเด็นแรก

การกำหนดจำนวนค่าสินไหมทดแทน ต้องหักส่วนที่เป็นความผิดของหน่วยงานหรือระบบออกไปก่อน และให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบเฉพาะ ร้อยละ 20 หลังจากหักส่วนความผิดของหน่วยงานไปแล้ว รวมแล้วให้คุณยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ประมาณ 2,000 ล้านบาท

ตุลาการผู้ลงชื่อในประเด็นนี้ คือ ไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์

(ดูคำพิพากษา หน้า 137-146)

ประเด็นที่สอง

ยืนตามคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น ให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง คุณยิ่งลักษณ์ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยให้เหตุผลประกอบ ดังนี้

1. คุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เพราะ กรณีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ G to G นั้น เป็นขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบระดับนโยบาย จากคำให้การของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ต่อคณะกรรมการฯ ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีรับรู้เฉพาะในการทำ MOU แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรายละเอียดของสัญญา นอกจากนี้ เมื่อเกิดประเด็นข้อสงสัยเรื่องการทุจริตขึ้นมา นายกรัฐมนตรีก็ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการทำหน้าที่ตรวจสอบโครงการแล้ว ส่วนกรณี ส.ต.ง.ทักท้วงนั้น เป็นเพียงข้อแนะนำ มิได้มีผลก่อให้เกิดหน้าที่ตามกฎหมายที่ผูกพันให้นายกรัฐมนตรีต้องปฏิบัติตาม แต่เป็นดุลพินิจนายกรัฐมนตรีที่จะดำเนินการตามความเหมาะสม และนายกรัฐมนตรีก็ได้ส่งหนังสือของ ส.ต.ง. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการต่อแล้ว ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่า คุณยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ ไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

2. ในคดีนี้ ไม่สามารถนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดี อม.211/2560 มาใช้ได้ เพราะ ประเด็นของคดีนี้ คือ คำสั่งของกระทรวงการคลังที่ให้คุณยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ในขณะที่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญา ไม่ได้เป็นฐานในการออกคำสั่งของกระทรวงการคลัง การที่ศาลปกครองสูงสุดรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่นอกเหนือจากข้อเท็จจริงในคำสั่งพิพาท จึงไม่น่าจะถูกต้อง

3. นายกรัฐมนตรีไม่สามารถรับทราบและรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ได้ทั้งหมด “การวางหลักให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบทุกเรื่องถึงขั้นอาจจะเป็นปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปในอนาคต”

4. การประเมินว่าเกิดความเสียหายกับรัฐหรือไม่ ไม่อาจใช้ “ขาดทุน” มาประเมินได้ เพราะ โครงการรับจำนำข้าวไม่ใช่โครงการแสวงหากำไร แต่เป็นโครงการช่วยเหลือชาวนา “ถือเป็นโครงการที่รัฐต้องใช้งบประมาณใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการให้บรรลุผลเช่นเดียวกับนโยบายอื่นๆที่รัฐสนับสนุน เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือโครงการคนละครึ่ง หรือโครงการสวัสดิการเบี้ยผู้สูงอายุ เป็นต้น ดังนั้น ปัญหาการดำเนินการตามโครงการรับจำนำข้าวที่ขาดทุน จึงมิใช่เหตุผลที่รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตนรีหรือคณะรัฐมนตรีจะนำมาใช้เป็นเหตุในการยกเลิกโครงการ และไม่อาจนำมาอ้างเป็นความเสียหายเพื่อให้รัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรี หรือเจ้าหน้าที่ให้ต้องรับผิดในผลการดำเนินการที่ขาดทุน” ในส่วนของการทุจริตที่เกิดขึ้นนั้น มีการดำเนินคดีทางแพ่งและทางอาญากับเจ้าหน้าที่แล้ว และ “ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้ร่วมกระทำทุจริตกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด”

ตุลาการผู้ลงชื่อในประเด็นนี้ ได้แก่ สมชัย วัฒนการุณ, มานิตย์ วงษ์เสรี, สมยศ วัฒนภิรมย์

(ดูคำพิพากษา หน้า 147-171)

ประเด็นที่สาม

การกำหนดจำนวนค่าสินไหมทดแทน ไม่สามารถนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาใช้ประกอบการพิจารณาในคดีนี้ได้ / ต้องหักส่วนความผิดของหน่วยงานและระบบออกไปด้วยร้อยละ 50 / โครงการระบายข้าว G to G เกิดจากการปฏิบัติในระดับเจ้าหน้าที่ นายกรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในระดับนโยบาย ไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติการ จึงให้รับผิดร้อยละ 5 คิดเป็นค่าสินไหมทดแทนประมาณ 500 ล้านบาท) / หากเอกชนผู้ทุจริต ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ความเสียหายของโครงการระบายข้าว G to G แล้ว ก็ให้หักส่วนนี้ออกจากส่วนที่คุณยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้ด้วย

ตุลาการผู้ลงชื่อในประเด็นนี้ ได้แก่ สมชัย วัฒนการุณ, อนุวัฒน์ ธาราแสวง, สมยศ วัฒนภิรมย์

(ดูคำพิพากษา หน้า 172-177)

ประเด็นที่สี่

ยืนตามคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง คุณยิ่งลักษณ์ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยให้เหตุผลประกอบ ดังนี้

1. การดำเนินการโครงการจำนำข้าว ทำโดยรูปแบบองค์กรกลุ่ม คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ ไม่อาจเป็นความรับผิดของนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว

2. คณะกรรมการกำหนดค่าเสียหายของกระทรวงการคลัง เป็นผลสืบเนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีจากการยึดอำนาจ ดังนั้น คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดและผู้ลงนามออกคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้ “จำเป็นที่จะต้องพิจารณาและใช้ดุลพินิจวินิจฉัยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยไม่ต้องพิจารณาหรือคำนึงถึงความยุติธรรมหรือคำนึงถึงหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ทางการเมืองของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทรืโอชา ได้กำหนดสั่งการและคาดโทษไว้ในที่ประชุมของคณะกรรมการ กบข.ครั้งที่ 3/2558 ดังกล่าว” (ดูส่วนนี้ในหน้า 190,191)

3. ประเด็นในคดีอาญา ไม่อาจนำมาใช้ในคดีนี้ได้

ตุลาการผู้ลงชื่อในประเด็นนี้ ได้แก่ สมฤทธิ์ ไชยวงศ์

(ดูคำพิพากษา หน้า 178-195)

.

อนึ่ง เมื่อพิจารณาจากคำพิพากษาและความเห็นแย้ง พิจารณาจากรายชื่อตุลาการที่ลงชื่อในคำพิพากษาจำนวน 5 คน พิจารณาจากรายชื่อตุลาการที่ลงชื่อในความเห็นแย้งแล้ว เราไม่อาจทราบได้ว่าองค์คณะ 5 คน (ตามรายชื่อปรากฏท้ายคำพิพากษา หน้า 136) แต่ละคนลงมติกันอย่างไร ในแต่ละประเด็น มีมติด้วยเสียงเท่าไร ใครเป็นเสียงข้างมาก ใครเป็นเสียงข้างน้อย และเราไม่อาจทราบได้ว่า มีประเด็นใดบ้างที่ส่งให้ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดชี้ขาด องค์ประชุมของที่ประชุมใหญ่ฯ มีกี่คน ใครบ้าง และในแต่ละประเด็น มีมติด้วยเสียงเท่าไร ใครเป็นเสียงข้างมาก ใครเป็นเสียงข้างน้อย (เราทราบแต่เพียงมีตุลาการที่เป็นเสียงข้างน้อยในบางประเด็น ได้ลงชื่อไว้ในความเห็นแย้ง)

เนื่องจากคดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชนอย่างกว้างขวาง สัมพันธ์กับการเมือง เป็นคำพิพากษาที่กลับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น และมีความเห็นแย้งของตุลาการเสียงข้างน้อยในหลายประเด็น ผมจึงมีความเห็นว่า เพื่อความโปร่งใสและประโยชน์ทางวิชาการ เพื่อให้สาธารณชนได้ตรวจสอบการใช้อำนาจของศาลปกครองผ่านการพิจารณาการให้เหตุผลประกอบคำพิพากษาได้ ศาลปกครองสูงสุดควรเปิดเผยข้อมูล ดังต่อไปนี้

1. การพิจารณาในองค์คณะ ต้องวินิจฉัยและลงมติในประเด็นใดบ้าง

2. ตุลาการในองค์คณะ ลงมติในแต่ละประเด็นด้วยเสียงเท่าไร ใครเป็นเสียงข้างมาก ใครเป็นเสียงข้างน้อย

3. มีประเด็นใดบ้างที่ให้ที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุดชี้ขาด

4. องค์ประชุมของที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุดที่ชี้ขาดในแต่ละประเด็น มีจำนวนเท่าไร ในแต่ละประเด็นมีการลงมติด้วยคะแนนเสียงเท่าไร ใครเป็นเสียงข้างมาก ใครเป็นเสียงข้างน้อย

.

ตั้งแต่ผมยังปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รับผิดชอบบรรยายกฎหมายปกครองและความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ต่อเนื่องทุกปี ผมยืนยันมาโดยตลอดว่า กรณีความเสียหายจากการทุจริตโครงการจำนำข้าว ไม่สามารถนำกฎหมายความรับผิดทางละเมิดเจ้าหน้าที่ มาบังคับใช้ สั่งให้คุณยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ ผมได้แสดงความเห็นมาโดยตลอด ทั้งผ่านทางข้อเขียน เฟสบุ๊ค และแสดงความเห็นในที่สาธารณะ

จนกระทั่ง ผมได้ลาออกจากอาจารย์ประจำ มาตั้งพรรคอนาคตใหม่ ได้เป็น ส.ส. จนถูกยุบพรรคและถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี หากมีโอกาส ก็แสดงความเห็นเช่นนี้มาเสมอ

จนมาถึงวันนี้ วันที่ผมไม่ได้มีอำนาจทางการเมืองใดๆ และมีความเห็นทางการเมืองที่ไม่ตรงกับพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลชุดนี้ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ในประเด็นสำคัญหลายเรื่อง แต่ผมก็ยังคงยืนยันความเห็นทางกฎหมายในกรณีนี้แบบเดิม

จึงขอยืนยันใช้เสรีภาพในทางความคิดและทางวิชาการ แสดงความไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด


(ข่าวศาลปกครองสูงสุด)

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 10,028,861,880 บาท แก่กระทรวงการคลัง ในคดีที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว โดยเฉพาะในส่วนของการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G)


ศาลเห็นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้ละเลยหน้าที่โดยไม่ติดตามการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด แม้จะได้รับคำเตือนและข้อเสนอแนะจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินและหน่วยงานอื่น ๆ ว่าโครงการมีความเสี่ยงต่อการทุจริต แต่ยังคงดำเนินโครงการต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวถือเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายต่อรัฐ


ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองกลางเคยมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 35,717,273,028 บาท โดยเห็นว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเธอเป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหายโดยตรง อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุดได้กลับคำพิพากษาดังกล่าว โดยพิจารณาให้ชดใช้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 50 ของความเสียหายที่เกิดขึ้นในขั้นตอนดังกล่าว


คำพิพากษานี้ถือเป็นการยุติคดีในชั้นศาลปกครองสูงสุด และมีผลผูกพันตามกฎหมาย

Comments


ดาวน์โหลด (1).png

เพื่อให้ทุกท่านสามารถติดตามประเด็นวิเคราะห์เจาะลึกผ่านทาง CLOSE-UP THAILAND เชิญเพิ่มเพื่อนทางไลน์ @closeupthailand

bottom of page