ทีดีอาร์ไอ สำรวจตลาดงานด้าน AI พบธุรกิจปรับตัวมาใช้ปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น 1 ปีเปิดรับ 2 หมื่นตำแหน่ง
- Close Up Thailand
- 10 นาทีที่ผ่านมา
- ยาว 6 นาที
ทีดีอาร์ไอ สำรวจตลาดงานด้าน AI พบธุรกิจปรับตัวมาใช้ปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น 1 ปีเปิดรับ 2 หมื่นตำแหน่ง TOP 3 อุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานมากที่สุด ICT – ขายส่ง -การผลิต แนะ อว.วางแผนการผลิตกำลังคนเชื่อมโยงกับความต้องการจริงของภาคเอกชน ขณะที่ภาพรวมประกาศรับสมัครงานทั่วไปใน 3 เดือนแรกของปีมีกว่า 2.2 แสนตำแหน่ง

ทีม Big Data สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดผลวิเคราะห์สถานะความต้องการแรงงาน และทักษะของแรงงานที่นายจ้างต้องการใน “โครงการพัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูลด้วย Large Language Models (LLMs) เพื่อการใช้ประโยชน์ในการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงฯ” สนับสนุนโดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) โดยทำการรวบรวมประกาศรับสมัครงานออนไลน์จาก 23 เว็บไซต์รับสมัครงานในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 (1 ม.ค. – 31 มี.ค.)
ในรายงานสำหรับไตรมาสนี้ นอกเหนือจากการอัพเดทข้อมูลความต้องการแรงงานรายไตรมาสแล้ว คณะผู้วิจัยจะโฟกัสไปการวิเคราะห์ความต้องการแรงงานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการผลิตกำลังคนดังกล่าว โดยผลการวิเคราะห์มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
การวิเคราะห์ความต้องการแรงงานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ภายใต้วิสัยทัศน์ “Ignite Thailand Future Workforce for Future Industry” ที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีแห่งอนาคต กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้กำหนดเป้าหมายในการพัฒนากำลังคนทักษะสูง (High-Skilled Workforce) เพื่อรองรับ 8 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมด้านเซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก
แผนระยะ 5 ปี อว. ตั้งเป้าผลิตบุคลากรด้าน AI ให้ได้ไม่น้อยกว่า 50,000 คน ผ่านโครงการเร่งด่วน เช่น STEM PLUS, สหกิจศึกษาพลัส หรือ Coop+ และสหกิจศึกษาในต่างประเทศ ตลอดจนโครงการระยะกลางถึงยาวอย่างการพัฒนาหลักสูตรแซนด์บ็อกซ์ การจัดการศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก และการสนับสนุนทุนระดับปริญญาเอก[1]
เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการดังกล่าว บทความฉบับนี้นำเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์ประกาศรับสมัครงานออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับทักษะด้าน AI ทั้งในระดับพื้นฐานและระดับขั้นสูง โดยจำแนกตำแหน่งงานตามกลุ่มอาชีพและกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงการวิเคราะห์ทักษะที่นายจ้างต้องการจากผู้สมัครงาน เพื่อชี้ให้เห็นลักษณะความต้องการแรงงาน AI ในตลาด และแนวโน้มของการนำเทคโนโลยี AI ไปประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจไทย ทั้งหมดนี้เพื่อให้ภาคนโยบายและสถาบันการศึกษา ตลอดจนสถาบันฝึกอบรมมีข้อมูลด้านความต้องการที่แท้จริงของภาคเอกชน ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นจุดอ้างอิง (reference point) ในการวางแผนการผลิตกำลังคนได้อย่างเหมาะสม รายละเอียดปรากฏตามเนื้อหาดังนี้
คณะผู้วิจัยได้นิยามตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI ดังนี้
1.วิศวกรระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI Engineer / ML Engineer) หมายถึง “อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) เช่น Machine Learning (ML), Deep Learning (DL) การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) หรือวิทยาการคอมพิวเตอร์ด้านภาพ (Computer Vision) เป็นต้น”
2.นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Scientist / Data Analyst) หมายถึง “อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบจำลองเชิงคาดการณ์โดยใช้ AI หรือ วิธีการทางสถิติ การทดลอง การสร้าง ติดตั้ง และดูแลรักษาโมเดล รวมถึงการรายงานข้อมูล การวิเคราะห์เชิงพรรณนา การแสดงผลข้อมูล และการตีความข้อมูลที่มีอยู่แล้ว”
3.ผู้ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ระดับเทคนิค (AI Technical User) หมายถึง “อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการทำงานกับเครื่องมือ AI ในระดับเทคนิค เช่น การออกแบบและปรับแต่งคำสั่งให้เหมาะสมกับโมเดล AI (Prompt Engineering) การฝังระบบ AI ลงในแอปพลิเคชันหรือกระบวนการทำงาน (AI Integration) การใช้ AI ในการประมวลผลภาพ (Machine Vision) เป็นต้น”
4.วิศวกรข้อมูลและวิศวกรระบบ (Data Engineer / System Engineer) หมายถึง “อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบการส่งผ่านข้อมูล (Data Pipeline) โครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์ ระบบ Machine Learning Operations (MLOps) หรือ Development and Operations (DevOps)”
5.วิศวกรระบบอัตโนมัติ (Robotics and Automation) หมายถึง “อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการทำงานกับหุ่นยนต์ที่ใช้ AI และระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม หรือระบบที่สามารถทำงานได้เอง (Autonomous Systems)”
6.นักพัฒนาระบบระบบ RPA (Robotic Process Automation) หมายถึง “อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ พัฒนา หรือดูแลกระบวนการทำงานอัตโนมัติ (Workflow) และสคริปต์อัตโนมัติด้วย RPA”
7.ผู้จัดเตรียมข้อมูลเพื่อการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (Data Annotation) หมายถึง “อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการการจัดกลุ่มข้อมูล การ “ติดป้าย” (labelling) ข้อมูล และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้ฝึกโมเดล AI”
8.ผู้ใช้งานเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AI General User) หมายถึง “ใช้เครื่องมือ AI (เช่น ChatGPT) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI โดยตรง”
ในภาพรวม มีประกาศรับสมัครงานออนไลน์ที่จัดเก็บมาได้ใน 1 ปีระหว่างเดือนเมษายน ปี 2567 ถึงเดือนมีนาคม ปี 2568 จำนวน 658,254 ตำแหน่ง มีตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI จำนวน 22,800 ตำแหน่ง (3.5%) โดยจำแนกได้ดังนี้
1.วิศวกรระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI Engineer / ML Engineer) 473 ตำแหน่ง (0.1% จากตำแหน่งงานทั้งหมด)
2.นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Scientist / Data Analyst) 7,026 ตำแหน่ง (1.1%)
3.ผู้ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ระดับเทคนิค (AI Technical User) 4,100 ตำแหน่ง (0.6%)
4.วิศวกรข้อมูลและวิศวกรระบบ (Data Engineer / System Engineer) 6,163 ตำแหน่ง (0.9%)
5.วิศวกรระบบอัตโนมัติ (Robotics and Automation) 873 ตำแหน่ง (0.1%)
6.นักพัฒนาระบบระบบ RPA (Robotic Process Automation) 596 ตำแหน่ง (0.1%)
7.ผู้จัดเตรียมข้อมูลเพื่อการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (Data Annotation) 624 ตำแหน่ง (0.1%)
8.ผู้ใช้งานเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AI General User) 2,856 ตำแหน่ง (0.4%)
ภาพประกอบที่ 1: จำนวนตำแหน่งงานด้าน AI ที่ประกาศงานสมัครระหว่างเดือนเมษายน ปี 2567 ถึงเดือนมีนาคม ปี 2568

จากข้อมูลการเปิดรับสมัครตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พบว่าแต่ละอุตสาหกรรมมีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะ AI แตกต่างกันไปตามลักษณะของอุตสาหกรรมและรูปแบบการใช้ (use cases) ของเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น
1.อุตสาหกรรมสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication) ต้องการตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI มากที่สุด 1,807 ตำแหน่ง ซึ่งตำแหน่งงานที่ต้องการมาก ได้แก่ วิศวกรข้อมูลและวิศวกรระบบ (746 ตำแหน่ง) นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักวิเคราะห์ข้อมูล (546) ผู้ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ระดับเทคนิค (311) ผู้ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (103) สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นภาคธุรกิจที่มีการปรับตัวและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจแพลทฟอร์มและเทคโนโลยีดิจิทัล
2.อุตสาหกรรมการขายส่งและการขายปลีก ต้องการตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI ทั้งหมด 1,785 ตำแหน่ง ซึ่งตำแหน่งงานที่ต้องการมาก ได้แก่ ผู้ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ระดับเทคนิค (554) นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักวิเคราะห์ข้อมูล (471) วิศวกรข้อมูลและวิศวกรระบบ (323) ผู้ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (272) สะท้อนถึงความพยายามในการนำ AI มาใช้ปรับปรุงการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า การจัดการคลังสินค้า และระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและแข่งขันในตลาดยุคดิจิทัล
3.อุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing) มีความต้องการตำแหน่งงาน AI ทั้งหมด 1,422 ตำแหน่ง ซึ่งตำแหน่งงานที่ต้องการมาก ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักวิเคราะห์ข้อมูล (457) ผู้ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ระดับเทคนิค (405) วิศวกรข้อมูลและวิศวกรระบบ (213) วิศวกรระบบอัตโนมัติ (150) สะท้อนแนวโน้มการประยุกต์ใช้ระบบอัตโนมัติและการผสานระบบปัญญาประดิษฐ์ (integrate) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และทดแทนการใช้แรงงานในงานที่ซ้ำซาก
4.อุตสาหกรรมการเงินและการประกันภัย (Finance and Insurance) ต้องการตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI ทั้งหมด 1,358 ตำแหน่ง ซึ่งตำแหน่งงานที่ต้องการมาก ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักวิเคราะห์ข้อมูล (672) วิศวกรข้อมูลและวิศวกรระบบ (431) ผู้ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (100) โดยอุตสาหกรรมการเงินและการประกันภัยเป็นอุตสาหกรรมที่มีการทำงานกับข้อมูลเป็นจำนวนมาก จึงมีความต้องการบุคลากร AI ในตำแหน่ง นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักวิเคราะห์ข้อมูลสูง โดยเฉพาะการทำงานด้านการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ การคาดการณ์พฤติกรรมลูกค้า การตรวจจับความเสี่ยง
5.อุตสาหกรรมกิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์ และกิจกรรมทางวิชาการ เช่น บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี ต้องการตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI ทั้งหมด 1,301 ตำแหน่ง ซึ่งตำแหน่งงานที่ต้องการมาก ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักวิเคราะห์ข้อมูล (421) วิศวกรข้อมูลและวิศวกรระบบ (348) ผู้ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ระดับเทคนิค (212) ผู้ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (186) สะท้อนถึงบทบาทของ AI ในการพัฒนาโซลูชัน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และให้บริการทางเทคนิคแก่ลูกค้าองค์กร ซึ่งต้องอาศัยบุคลากรที่มีทักษะสูงและความเข้าใจเชิงลึกด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แดชบอร์ดด้านล่าง และคลิกที่ประเภทของตำแหน่งงานด้าน AI ในคำอธิบายแผนภูมิเพื่อดูจำนวนของตำแหน่งงานนั้นๆในแต่ละอุตสาหกรรม
ภาพประกอบที่ 2: จำนวนตำแหน่งงานด้าน AI ที่ประกาศรับสมัคร จำแนกตามกลุ่มอุตสาหกรรม ระหว่างเดือนเมษายน ปี 2567 ถึงเดือนมีนาคม 2568

เมื่อวิเคราะห์ทักษะเฉพาะเจาะจงที่เป็นที่ต้องการของตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI พบว่า
1.ตำแหน่งวิศวกรปัญญาประดิษฐ์ (AI Engineer / ML Engineer) มีความต้องการทักษะด้าน AI/ML สูงที่สุด (84.6%) โดยเน้นความเชี่ยวชาญใน Machine Learning, TensorFlow, PyTorch และ Deep Reinforcement Learning ซึ่งจำเป็นต่อการออกแบบและพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อน นอกจากนี้ยังต้องมีความสามารถด้าน Scripting Languages (70.1%) โดยเฉพาะ Python ซึ่งเป็นภาษาหลักที่ใช้ในงาน AI ตามด้วย R และ JavaScript รวมถึงทักษะด้าน Software Development (39.5%) อย่าง CI/CD, DevOps และ Full Stack Development และทักษะในสาขา Computer Science (26.2%) เช่น Algorithms และ Automation รวมถึง Data Analysis (22.6%) ก็เป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลและปรับปรุงโมเดล
2.ตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Scientist / Data Analyst) ต้องการทักษะด้าน Business Intelligence (36.6%) โดยใช้เครื่องมืออย่าง Power BI หรือ Tableau เพื่อสร้างแดชบอร์ดและรายงานเชิงวิเคราะห์ รองลงมาคือ Data Analysis เป็นหลัก (36.1%) โดยเน้นทักษะ Data Gathering Analysis, Analytics และ Data Analysis Tools ซึ่งใช้ในการจัดการ วิเคราะห์ และตีความข้อมูล รวมถึง Software Query Languages (33.2%) โดยเฉพาะ SQL ที่จำเป็นต่อการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล นอกจากนี้ยังใช้ Python และ R (29.7%) ในการประมวลผลข้อมูล และมีพื้นฐานด้าน Statistics (23.4%) เช่น Statistical Modeling และ Predictive Modeling เพื่อใช้สร้างโมเดลเชิงวิเคราะห์
3.ตำแหน่งผู้ใช้งาน AI ในระดับเทคนิค (AI Technical User) ต้องการทักษะ Computer Science เป็นหลัก (26.6%) โดยเฉพาะด้าน Automation ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ AI ควบคู่กับ Embedded Systems และ Information Systems ทักษะด้าน Software Development ก็มีความจำเป็นเช่นกัน (17.6%) เช่น Application Program Development และ DevOps รวมถึงทักษะ Employee Training (16.7%) เช่น การฝึกสอนผู้บริหาร การฝึกอบรมและพัฒนาการจัดการ และการฝึกอบรมภาคปฏิบัติ นอกจากนี้ยังต้องมีทักษะ Project Management (15.9%) สำหรับการวางแผน ควบคุมงบประมาณ และจัดการความเสี่ยงของโครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบอัตโนมัติ และมีพื้นฐานด้าน Mechanical Engineering (15.3%) เช่น Mechatronics และ Mechanics
4.ตำแหน่งวิศวกรข้อมูล / วิศวกรระบบ (Data Engineer / System Engineer) ต้องการทักษะ Software Development มากที่สุด (49.4%) เช่น CI/CD, DevOps และกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ รองลงมาคือ Scripting Languages (47.0%) โดยเฉพาะ Python, JavaScript และ Bash ซึ่งใช้ในการเขียนสคริปต์สำหรับจัดการข้อมูลและระบบ backend รวมถึงทักษะในสาขา Computer Science (31.8%) อย่าง Automation และ Operating Systems นอกจากนี้ยังใช้เครื่องมือ Software Development Tools (28.1%) เช่น Docker และ Terraform รวมถึงทักษะด้าน Databases (27.8%) ทั้ง PostgreSQL, MySQL, MongoDB และ NoSQL ในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่
5.ตำแหน่งวิศวกรหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robotics and Automation) ต้องการทักษะเฉพาะด้าน Robotics (40.8%) เช่น Robotics, Robotic Programming และ Robotic Systems สำหรับการควบคุมเครื่องจักรอัตโนมัติ โดยมีพื้นฐานด้าน Computer Science (39.8%) โดยเฉพาะ Automation เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบควบคุม นอกจากนี้ยังต้องมีทักษะ Mechanical Engineering (29.6%) เช่น Mechatronics และ Mechanical Design รวมถึงการใช้ Engineering Software (18.7%) อย่าง AutoCAD และ SolidWorks และทักษะเกี่ยวกับ Employee Training (18.0%) เพื่อการอบรมการจัดการของพนักงาน
6.ตำแหน่งผู้พัฒนา RPA (Robotic Process Automation) เน้นทักษะ Scripting Languages (36.1%) ได้แก่ Python, JavaScript และ TypeScript สำหรับเขียนสคริปต์ควบคุมกระบวนการอัตโนมัติ ร่วมกับทักษะด้าน Computer Science (35.1%) โดยเฉพาะ Automation รวมถึง IT Automation (28.8%) เช่น UiPaths, Jenkins และ RPA Tools อื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีความรู้ด้าน Software Development (28.1%) เช่น CI/CD และ Software Development Life Cycle รวมถึงทักษะ Query Languages (19.1%) โดยเฉพาะ SQL สำหรับดึงและจัดการข้อมูล
7.ตำแหน่งผู้จัดเตรียมข้อมูลเพื่อการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (Data Annotation) ต้องการทักษะ Employee Training (26.7%) ในการวางแผนและพัฒนาผู้บริหารและพนักงาน รองลงมาคือ ทักษะพื้นฐานด้านเทคโนโลยี Basic Technical Knowledge (17.6%) เช่น การใช้ Apple Products และ Digital Citizenship ควบคู่กับทักษะ Writing and Editing (17.3%) โดยเฉพาะ Fact Checking และ Technical Writing ซึ่งสำคัญต่อความถูกต้องของข้อมูลที่นำไปฝึกโมเดล AI นอกจากนี้ยังต้องมีทักษะ การเขียนโปรแกรมเบื้องต้น Scripting Languages (15.9%) เช่น Python, JavaScript และ TypeScript รวมถึงทักษะ Programming Languages อื่นๆ (13.8%) เช่น Swift, Rust และ C#
8.ตำแหน่งผู้ใช้งาน AI ทั่วไป (AI General User) ตำแหน่งนี้ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงาน โดยเน้นทักษะ Marketing Strategy (27.7%) เช่น A/B Testing และ Business Marketing รองลงมาคือทักษะ Digital Marketing (24.4%) เช่น Email Marketing และ Content Marketing นอกจากนี้ยังมีความรู้ด้าน Data Analysis (22.0%) เช่น Analytics และ Data Gathering Analysis ทักษะด้าน Machinery (15.4%) และ Market Analysis (14.5%) เช่น Market Research และ Market Trends
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แดชบอร์ดด้านล่าง และคลิกที่บาร์ของกลุ่มทักษะเจาะจงเพื่อดูรายชื่อทักษะ 5 อันดับแรก ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในกลุ่มทักษะเจาะจงนั้น
ภาพประกอบที่ 3: กลุ่มทักษะเฉพาะเจาะจง 5 อันดับแรกที่เป็นที่ต้องการและรายชื่อทักษะที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในแต่ละตำแหน่งงานด้าน AI

ข้อเสนอการพัฒนากำลังคน
การพัฒนากำลังคนทักษะสูง (High-Skilled Workforce) เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็นเศรษฐกิจฐานเทคโนโลยีและองค์ความรู้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ซึ่งได้แก่ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์, อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI)
เพื่อให้การพัฒนากำลังคนเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมในอนาคต กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ควรพิจารณาและดำเนินการวางแผนการผลิตกำลังคน โดยเชื่อมโยงกับความต้องการจริงของภาคเอกชน โดยกลุ่มที่มีความต้องการมากที่สุดตลอดปีที่ผ่านมา คือ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Scientist / Data Analyst) 7,053 ตำแหน่ง รองลงมาคือ วิศวกรข้อมูลและวิศวกรระบบ (Data Engineer / System Engineer) 6,195 ตำแหน่ง
และผู้ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ระดับเทคนิค (AI Technical User) 4,114 ตำแหน่ง ส่วนวิศวกรระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI Engineer / ML Engineer) ยังมีความต้องการไม่มาก (473 ตำแหน่ง) การผลิตจึงควรเน้นคุณภาพ เช่นการส่งเสริมให้ทุนระดับบัณฑิตศึกษา เพื่อให้มีทักษะความรู้ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ได้จริง
นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมว่าควรมีแนวทางในการพัฒนาบุคลากรด้าน AI ดังนี้:
1.ส่งเสริมการพัฒนาทักษะ AI เชิงลึก
อุตสาหกรรมสารสนเทศและการสื่อสาร ต้องการบุคลากรด้าน Big Data และวิศวกรระบบเป็นจำนวนมาก จึงควรส่งเสริมการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะในสาขา Data Analysis และวิศวกรระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นพิเศษ
2.ส่งเสริมการพัฒนาทักษะ AI ด้าน Digital Marketing และ Marketing Analytics
สำหรับภาคธุรกิจ เช่น การขายส่งและการขายปลีก การพัฒนาและเสริมสร้างทักษะด้าน Digital Marketing และ Marketing Analytics โดยใช้ AI จะเป็นสิ่งสำคัญในการเตรียมบุคลากรให้พร้อมต่อการนำ AI มาใช้ในการตลาดและการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค การพัฒนาทักษะด้าน Analytics, Data Gathering และ Business Intelligence จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของธุรกิจ
3.ส่งเสริมการพัฒนาทักษะหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robotics and Automation Systems)
ในอุตสาหกรรมการผลิต ควรส่งเสริมการพัฒนาทักษะในด้าน Robotics, Automation Systems และ AI-powered Robotics ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดต้นทุนการผลิต
4.ส่งเสริมการใช้ Generative AI ให้มีประสิทธิภาพ
ควรส่งเสริมให้บุคลากรในอุตสาหกรรมต่างๆ สามารถใช้ Generative AI สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาองค์ความรู้ การค้นหาแนวทางการประยุกต์ใช้ที่เหมาะสม (use cases) การใช้งานอย่างรับผิดชอบ และการใช้งานโดยเข้าใจข้อจำกัด เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดจากเทคโนโลยีนี้
ภาวะความต้องการแรงงานตลาดประกาศรับสมัครงานออนไลน์ไตรมาสที่ 1 ปี 2568
ภาพรวม 10 อันดับอุตสาหกรรมที่ประกาศรับสมัครงานมากที่สุด
จากการจำแนกประกาศรับสมัครงานออนไลน์ตามประเภทกลุ่มอุตสาหกรรม โดยอ้างอิงข้อมูลการจดทะเบียนบริษัทของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และมาตรฐานอุตสาหกรรมประเทศไทย ปี 2552 (TSIC) ผลการวิเคราะห์พบว่า 10 อันดับแรกของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความต้องการแรงงานมากที่สุด ได้แก่
1.การขายส่งและขายปลีก 42,766 ตำแหน่ง (19.0%)
2.การผลิต 29,528 ตำแหน่ง (13.1%)
3.กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน 22,977 ตำแหน่ง (10.2%)
4.กิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ 15,643 ตำแหน่ง (7.0%)
5.ที่พักแรมและบริการอาหาร 14,276 ตำแหน่ง (6.3%)
6.กิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย 13,593 ตำแหน่ง (6.0%)
7.สารสนเทศและการสื่อสาร 7,446 ตำแหน่ง (3.3%)
8.การก่อสร้าง 7,430 ตำแหน่ง (3.3%)
9.กิจกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ 7,148 ตำแหน่ง (3.2%)
10.การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า 4,993 ตำแหน่ง (2.2%)
ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ มีทั้งหมด 1,948 ตำแหน่ง (0.9%) โดยประกอบไปด้วยหน่วยงานราชการ มูลนิธิ สหกรณ์ และ บริษัทต่างประเทศ และมีประกาศรับสมัครงานที่ไม่ระบุกลุ่มอุตสาหกรรมจำนวน 47,076 ตำแหน่ง (20.9%)
ภาพประกอบที่ 4: จำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม
10 อันดับอาชีพที่มีการประกาศรับสมัครงานมากที่สุด
เมื่อจำแนกประกาศรับสมัครงานออนไลน์ตามกลุ่มอาชีพที่ระบุในประกาศ โดยอ้างอิงฐานข้อมูลกลุ่มอาชีพจากสหรัฐอเมริกา (O*NET) พบว่า 10 กลุ่มอาชีพที่มีจำนวนประกาศรับสมัครงานมากที่สุด ได้แก่
1.การขายและงานที่เกี่ยวข้อง 43,116 ตำแหน่ง (19.2%)
2.ธุรกิจและการเงิน 38,727 ตำแหน่ง (17.2%)
3.การจัดการ 33,241 ตำแหน่ง (14.8%)
4.สนับสนุนงานออฟฟิศและงานธุรการ 23,851 ตำแหน่ง (10.6%)
5.คอมพิวเตอร์และคณิตศาสตร์ 16,169 ตำแหน่ง (7.2%)
6.สถาปัตยกรรมและวิศวกรรม 12,797 ตำแหน่ง (5.7%)
7.การเตรียมอาหารและงานบริการ 9,632 ตำแหน่ง (4.3%)
8.การติดตั้ง บำรุงรักษา และซ่อมแซม 8,953 ตำแหน่ง (4.0%)
9.ศิลปะ การออกแบบ ความบันเทิง กีฬา และสื่อ 8,901 ตำแหน่ง (4.0%)
10.การขนส่ง 6,518 ตำแหน่ง (2.9%)
ทั้งนี้ประกาศรับสมัครงานในกลุ่มอาชีพเหล่านี้สะท้อนถึงความต้องการแรงงานในตลาดที่หลากหลาย โดยเฉพาะในสาขาการขาย การจัดการ และธุรกิจการเงินที่มีการจ้างงานสูงที่สุด
ภาพประกอบที่ 5: จำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ในแต่ละกลุ่มอาชีพ
จำนวนตำแหน่งงานเปิดใหม่ตามวุฒิการศึกษา
เมื่อจำแนกประกาศรับสมัครงานออนไลน์ตามวุฒิการศึกษาขั้นต่ำที่ระบุในประกาศรับสมัครงาน พบว่ามีประกาศรับสมัครงานวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี 107,808 ตำแหน่งงาน (47.9%) ปวส. 21,217 ตำแหน่งงาน (9.4%) มัธยมศึกษาปีที่หก 16,757 ตำแหน่งงาน (7.5%) ปวช. 12,389 ตำแหน่งงาน (5.5%) มัธยมศึกษาปีที่สาม 9,502 ตำแหน่งงาน (4.2%) ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา 6,959 ตำแหน่งงาน (3.1%) สูงกว่าปริญญาตรี 944 ตำแหน่งงาน (0.4%) และที่ไม่ระบุวุฒิการศึกษามีจำนวน 49,270 ตำแหน่งงาน (21.9%)
ภาพประกอบที่ 6: จำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 วุฒิการศึกษา
จำนวนตำแหน่งงานเปิดใหม่ตามภูมิภาค
เมื่อจำแนกการประกาศรับสมัครงานออนไลน์ตามที่ตั้งของสถานประกอบการ พบว่าพื้นที่ที่มีการเปิดรับสมัครงานมากที่สุดคือกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยมีจำนวนตำแหน่งงานทั้งหมด 121,986 ตำแหน่ง คิดเป็น 54.3% ของจำนวนตำแหน่งงานทั้งหมด ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของการประกาศหางานออนไลน์ รองลงมาคือภาคใต้ มีการเปิดรับสมัคร 17,390 ตำแหน่ง (7.7%) ตามด้วยภาคตะวันออก 8,909 ตำแหน่ง (4.0%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6,198 ตำแหน่ง (2.8%) ภาคเหนือ 5,207 ตำแหน่ง (2.3%) ภาคกลาง 3,370 ตำแหน่ง (1.5%) และภาคตะวันตก 2,424 ตำแหน่ง (1.1%) นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่งงานที่ไม่สามารถระบุที่ตั้งของสถานที่ทำงานได้จำนวน 59,362 ตำแหน่ง คิดเป็น 26.4% ของตำแหน่งงานทั้งหมด
ภาพประกอบที่ 7: จำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ในแต่ละภูมิภาค
5 จังหวัดที่มีประกาศรับสมัครงานออนไลน์สูงสุด
ในส่วนของภาพรวมจังหวัดที่มีจำนวนประกาศรับสมัครงานสูงที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ โดยมีตำแหน่งงานเปิดรับทั้งหมด 100,311 ตำแหน่ง คิดเป็น 44.6% ของงานทั้งหมด รองลงมาคือภูเก็ตที่มี 9,929 ตำแหน่ง (4.4%) สมุทรปราการ 6,434 ตำแหน่ง (2.9%) นนทบุรี 5,791 ตำแหน่ง (2.6%) ปทุมธานี 4,542 ตำแหน่ง (2.0%) และชลบุรี 3,844 ตำแหน่ง (1.7%)
ภาพประกอบที่ 8: 5 จังหวัดแรกในแต่ละภูมิภาคที่มีจำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 มากที่สุด
5 ทักษะที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด
ภาพประกอบที่ 9: ทักษะที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด 5 อันดับแรก
ทั้งนี้ผลการศึกษาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการพัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูลด้วย Large Language Models (LLMs) เพื่อการใช้ประโยชน์ในการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงฯ” โดยทีดีอาร์ไอ ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) โดยจะมีการวิเคราะห์และนำเสนอการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานไทยอย่างต่อเนื่องไปในทุกไตรมาส
บทความโดย: ทีมวิจัย “โครงการวิเคราะห์การประกาศหางานออนไลน์” ณัฐสิฏ รักษ์เกียรติวงศ์, วินิทร เธียรวณิชพันธุ์, นรินทร์ ธนนิธาพร, เพ็ญพิชา ผาณิตพิเชฐวงศ์ และวิไลลักษณ์ มีสวัสดิ์ ทีดีอาร์ไอ
Comments