"นักวิจัยทีดีอาร์ไอ"มองวิบากกรรมคนเมือง ขึ้นค่ารถไฟฟ้าสายสีเขียว สำรวจที่มา-ทางออก
- Close Up Thailand
- 30 ต.ค.
- ยาว 2 นาที

ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เตรียมปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีเขียวในส่วนต่อขยายจากเดิม 15 บาทตลอดสาย เป็นเริ่มต้น 17 บาท และเพิ่มขึ้นตามระยะทางจนถึง ไม่เกิน 45 บาท ส่วนผู้โดยสารที่ต้องเดินทางข้ามระหว่าง “ส่วนสัมปทานหลัก” และ “ส่วนต่อขยาย” จะถูกคิดค่าโดยสารรวม ไม่เกิน 65 บาท จากเดิม 62 บาท
กทม. ระบุว่า การปรับราคาในครั้งนี้เป็นการปรับเพิ่มให้อัตราค่าโดยสารใหม่ “สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น” และจะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดทุนของระบบ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว พบว่าการขึ้นราคานี้อาจทำให้ผู้โดยสารต้องจ่ายแพงขึ้นเกือบทุกกรณี โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องข้ามระหว่างส่วนสัมปทานหลักและส่วนต่อขยาย ซึ่งเกิดปัญหาการคิดค่าโดยสารแบบที่เป็นโครงการรถไฟฟ้า 3 โครงการ ซึ่งจะเกิดการ “ค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน” ในเส้นทางรถไฟฟ้าสายเดียวกัน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในการคำนวณค่าโดยสารแบบใหม่ การเดินทางจาก สะพานควาย-ห้าแยกลาดพร้าว หรือจาก พระโขนง-บางจาก ซึ่งมีระยะห่างเพียง 2 สถานี ผู้โดยสารกลับต้องจ่ายถึง 34 บาท เนื่องจากถูกคิดค่าโดยสารแยกทั้งส่วนสัมปทานหลัก (17 บาท) และส่วนต่อขยาย (17 บาท) แม้จะเป็นเส้นทางเดียวกันก็ตาม
สาเหตุของความไม่สมเหตุสมผลนี้ มาจากโครงสร้างของรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ยังถูกบริหารจัดการเป็นแบบ รถไฟฟ้า 3 โครงการ ประกอบไปด้วย สายสีเขียวส่วนสัมปทานหลักที่ BTS ได้รับสัญญาสัมปทานมา ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานปี 2572 ส่วนที่ 2 คือส่วนต่อขยายที่ 1 ที่ทาง กทม. เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง และจ้าง BTS เดินรถ และส่วนที่ 3 คือส่วนต่อขยายที่ 2 ที่ทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและส่งมอบให้กทม. มาดำเนินการจัดจ้าง BTS เดินรถอีกกส่วนหนึ่ง ซึ่งสัญญาจ้าง BTS เดินรถจะมีอายุสัญญาถึงปี 2585

เทียบกับสายสีน้ำเงิน: จ่ายแพงกว่าในระยะทางใกล้เคียงกัน
เมื่อเปรียบเทียบค่าโดยสารกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ซึ่งคิดค่าโดยสารแบบขั้นบันไดเดียวตลอดสาย จะพบว่าสายสีเขียวมีค่าโดยสารสูงกว่าทุกระยะ โดยเฉพาะเมื่อเดินทางข้ามส่วนสัมปทาน ตัวอย่างเช่น
เดินทางจาก อโศกไปบางจาก (6 สถานี) ค่าโดยสารสายสีเขียวอยู่ที่ 52 บาท ในขณะที่สายสีน้ำเงินจาก สุขุมวิทไปหัวลำโพง (จำนวนสถานีเท่ากัน) คิดเพียง 30 บาท
เดินทางจาก บางหว้าไปสยาม (12 สถานี) สายสีเขียวคิด 65 บาท ขณะที่สายสีน้ำเงินจาก บางหว้าไปบางซื่อ (จำนวนสถานีเท่ากัน) คิดเพียง 45 บาท
ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้โดยสารสายสีเขียวต้องแบกรับภาระค่าโดยสารที่สูงกว่าอย่างชัดเจน แม้จะใช้บริการระยะทางใกล้ก็ตาม

เมื่อราคาไม่สอดคล้องกับระยะทาง ผู้โดยสารมีโอกาสหันไปใช้ทางเลือกอื่น
ค่าโดยสารที่แพงกว่าระบบอื่น โดยเฉพาะในระยะทางสั้น อาจส่งผลให้ผู้โดยสารส่วนหนึ่งเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะอื่นแทน เช่น รถประจำทาง ซึ่งแม้ใช้เวลาเดินทางนานกว่าเล็กน้อย แต่มีค่าใช้จ่ายถูกกว่าครึ่งหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น
สะพานควาย – รัชโยธิน (4 สถานี) รถไฟฟ้าคิด 39 บาท ใช้เวลา 7 นาที ขณะที่รถเมล์ใช้เวลา 13 นาที แต่จ่ายเพียง 8–20 บาท
เอกมัย – บางจาก (3 สถานี) รถไฟฟ้าคิด 42 บาท รถเมล์ใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสารเพียง 8–20 บาท

เมื่อราคาค่าโดยสารสูงจนไม่จูงใจให้ใช้บริการ การเพิ่มรายได้ของ กทม. ก็อาจไม่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารลดลง
แนวทางแก้ไข: จาก “ขึ้นราคา” สู่ “สร้างระบบค่าโดยสารร่วม”
รถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็นรถไฟฟ้าระบบที่กทม. ดูแลมาตั้งแต่ต้น แต่กลับพิจารณาการลงทุนและการบริหารจัดการเป็น 3 โครงการย่อย และไม่ได้นำการกำหนดค่าโดยสารแบบเป็นโครงข่ายเดียว มาเป็นต้นแบบในการคิดค่าโดยสารที่เหมาะสม
การแก้ปัญหานี้อาจไม่ได้อยู่ที่การขึ้นราคาค่าโดยสารส่วนต่อขยายเพื่อเพิ่มรายได้โดยตรง แต่ควรมุ่งไปที่การทำให้ผู้โดยสาร ใช้ระบบมากขึ้นในระยะยาว ผ่านการปรับโครงสร้างค่าโดยสารให้ “เป็นธรรมและโปร่งใส” มากกว่า
ปัจจุบัน กำลังมีกฎหมายสำคัญ 2 ฉบับที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ ได้แก่ พ.ร.บ. การขนส่งทางราง พ.ศ. …. และ พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. ซึ่งจะเป็นกฎหมายสำคัญในการกำกับดูแลทั้งอัตราค่าโดยสารของรถไฟฟ้า และ การกำหนดค่าโดยสารร่วม ในการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างระบบรถไฟฟ้าด้วยกันเอง และระหว่างระบบรถไฟฟ้าและขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่น
เป็นที่น่าสนใจว่าการขึ้นราคาในครั้งนี้ เป็นการอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย ที่กฎหมายทั้งสองฉบับรอการประกาศเพื่อบังคับใช้ ซึ่งหน่วยงานกำกับดูแลที่มีหน้าที่ตามกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ได้แก่ กรมการขนส่งทางราง และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กลับไม่มีความเห็นในการขึ้นราคาของรถไฟฟ้าสายสีเขียวในครั้งนี้ ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาในอนาคต ที่เมื่อกฎหมายทั้งสองฉบับมีผลใช้บังคับ ทั้งสองหน่วยงานคงต้องมาตามแก้ไขปัญหาการขึ้นราคาในครั้งนี้ต่อไป
ค่าโดยสารสายสีเขียว สู่ระบบค่าโดยสารร่วม
ในระยะยาว ภาครัฐควรพิจารณา ปรับสัญญาสัมปทาน เพื่อแก้ปัญหาค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนโดยตรง ให้รถไฟฟ้าต่างโครงการกันสามารถใช้อัตราค่าโดยสารร่วมกันได้ โดยมีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบ คือ กรมการขนส่งทางราง (ขร.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในขณะเดียวกัน หากเป็นโครงการใหม่ในอนาคต ควรให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และกทม.กำหนดโครงสร้างค่าโดยสารร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการประเมินโครงการ
แต่ในระยะสั้น การปรับค่าโดยสารสายสีเขียว สามารถทำได้โดยใช้โมเดลค่าโดยสารร่วม ไม่คิดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน และคิดว่าการเดินทางสายสีเขียวทั้งเส้นเป็นระบบเดียวกัน สำหรับผู้ที่เดินทางข้ามระหว่างส่วนสัมปทานหลักและส่วนต่อขยาย โดยยังคงเพดานค่าโดยสารสูงสุดไว้ที่ 65 บาท วิธีนี้จะช่วยลดภาระให้ผู้โดยสารระยะใกล้
ในขณะเดียวกัน ผู้โดยสารที่เดินทางระยะไกลก็ยังคงจ่ายค่าโดยสารในระดับที่เหมาะสมตามระยะทาง ในกรณีที่มีการยกเว้นค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนนี้ ค่าโดยสารแบบขั้นบันไดของสายสีเขียวจะไปชนเพดานราคาประมาณสถานีลำดับที่ 15 – 18 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสมเหตุสมผลสำหรับความยาวของโครงข่ายเส้นทางปัจจุบัน (จากเดิมส่วนสัมปทานหลักชนเพดานราคาที่สถานีลำดับที่ 8 และส่วนต่อขยายชนเพดานราคาที่สถานีลำดับที่ 13)
หากในอนาคตมีการจัดทำ ระบบค่าโดยสารร่วมแบบสมบูรณ์ (Integrated Fare System) อาจพิจารณาการ เฉลี่ยค่าแรกเข้า 17 บาท ระหว่าง BTS และ กทม. ตามสัดส่วนของจำนวนสถานี เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับรายได้อย่างเป็นธรรมและผู้โดยสารไม่ต้องแบกรับภาระเกินจริง แนวทางนี้จะช่วยให้เกิดโครงสร้างค่าโดยสารที่โปร่งใส ยั่งยืน และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ทั้งผู้โดยสาร ผู้ให้บริการ และหน่วยงานภาครัฐ อีกทั้งยังสอดคล้องกับเป้าหมายในการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น

บทความโดย สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สิทธา ตรีพรชัยศักดิ์ และรติยากร ดำรงศักดิ์ นักวิจัยทีมนโยบายการขนส่ง และโลจิสติกส์ ทีดีอาร์ไอ








.png)
ความคิดเห็น