top of page

"2ขุนพลเพื่อไทย"มองรัฐประหาร 19กันยา49 "ภูมิธรรม เวชยชัย-จาตุรนต์ ฉายแสง"ทางหลายแพร่งการเมืองไทย!!!

  • รูปภาพนักเขียน: Close Up Thailand
    Close Up Thailand
  • 19 ก.ย.
  • ยาว 1 นาที

อัปเดตเมื่อ 20 ก.ย.

ree

19 กันยายน 2549 คือบาดแผลลึกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย วันนั้นไม่เพียงโค่นล้มรัฐบาลที่ประชาชนเลือกด้วยเสียงถล่มทลาย แต่ยังทำลายความฝันและอนาคตของผู้คนนับล้าน


รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้พิสูจน์แล้วว่า “ประชาธิปไตยที่ประชาชนเลือกตั้ง” สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้จริง ไม่ว่าจะเป็นสิทธิรักษา 30 บาทที่พลิกชีวิตทั้งครอบครัว การศึกษาที่เปิดโอกาสให้เด็กไทยนับล้าน หรือโครงการทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกษตรกรและแรงงานตัวเล็กเข้าถึงทุนและตลาด สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงนโยบาย แต่คือการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริง


แต่รัฐประหารครั้งนั้นกลับหยุดยั้งทุกสิ่ง ใช้การตีความกฎหมายใหม่เป็นเครื่องมือทำลายผู้นำและบุคลากรของพรรคไทยรักไทย ความหวังถูกช่วงชิง พลังการเรียนรู้ของสังคมถูกทำลาย ประเทศถูกฉุดให้ถอยหลัง และร่องรอยยังคงอยู่จนถึงวันนี้ ผ่านรัฐธรรมนูญและกติกาที่บิดเบี้ยว กดทับอนาคตของคนไทยเกือบ 20 ปี


อย่างไรก็ตาม

“จิตวิญญาณไทยรักไทย”

ไม่เคยถูกทำลาย พรรคเพื่อไทยยังคงยืนหยัดบนเส้นทางประชาธิปไตย และเชื่อมั่นใน “ประชาธิปไตยที่จับต้องได้” — ประชาธิปไตยที่เปลี่ยนจากตัวหนังสือในรัฐธรรมนูญให้เป็นความจริงในชีวิตประจำวันของประชาชน ไม่ว่าจะเป็น


”ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ “

ที่เปิดโอกาสอย่างเท่าเทียม


”ประชาธิปไตยทางสวัสดิการ “

ที่ทำให้สุขภาพ การศึกษา และที่อยู่อาศัยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน


”ประชาธิปไตยข้อมูล “

ที่โปร่งใสและตรวจสอบอำนาจรัฐได้จริง


“ประชาธิปไตยท้องถิ่น”

ที่ให้ชุมชนกำหนดอนาคตบ้านเกิด


”ประชาธิปไตยทางการศึกษา “

ที่สร้างสิทธิการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง


“พรรคไทยรักไทยอาจถูกโค่นล้มจากรัฐประหาร แต่ “พลังของประชาชนและอุดมการณ์ประชาธิปไตย”

ไม่มีวันถูกทำลาย — วันนี้พรรคเพื่อไทยยังคงยืนหยัด เพื่ออนาคตของประชาธิปไตยไทย”


— ภูมิธรรม เวชยชัย-


ree

ขณะที่จาตุรนต์ ฉายแสง แสสดงความเห็นในวันเดียวกันว่า

19 ปีรัฐประหาร : ความเสียหายต่อเนื่องที่ยังไม่จบสิ้น


ข้ออ้างในการทำรัฐประหารเมื่อ 19 ปีก่อน มีหลายข้อซึ่งต่อมาก็ปรากฏแล้วว่า “ข้ออ้าง” ก็เป็นเพียงข้ออ้าง ฉากบังหน้าที่ไร้ทั้งเหตุและข้อเท็จจริงรองรับแม้แต่น้อย


สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหารเมื่อ 19 ปีก่อนคือ “ความกลัว”

“กลัว” การเลือกตั้ง

“กลัว” การตัดสินโดยประชาชน

“กลัว” พรรคไทยรักไทยและหัวหน้าพรรคไทยรักไทยได้รับความนิยมมากขึ้นๆ จนมีเสียงเกินครึ่งหนึ่งของรัฐสภา

“กลัว”” กระบวนการที่พรรคไทยรักไทยสังเคราะห์นโยบายจากความต้องการของประชาชนแล้วนำมาใช้บริหารอย่างได้ผล จนกลายเป็นความสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างพรรคการเมืองและนักการเมืองกับประชาชนโดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงมาก่อน

“กลัว” ว่าผู้มีอำนาจมาแต่เดิมจะไม่สามารถกำหนดควบคุมความเป็นไปของบ้านเมืองได้อีกต่อไป


จากความกลัวเหล่านี้ จึงนำไปสู่จุดมุ่งหมายที่จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ทั้งที่ประกาศอย่างเปิดเผยและที่ไม่ได้เปิดเผย

ที่ประกาศอย่างเปิดเผยคือ “แผนบันไดสี่ขั้น” ซึ่งโดยสรุปก็คือจะต้องป้องกันไม่ให้พรรคไทยรักไทยและนักการเมืองของพรรคกลับมามีอำนาจ แต่จะต้องให้บางพรรคการเมืองอื่นได้เป็นรัฐบาล


ที่ไม่ได้ประกาศออกมาตรงๆคือ “การเขียนรัฐธรรมนูญ” เพื่อให้มีระบบกลไกที่ผู้ที่ไม่มาจากการเลือกตั้งและไม่ยึดโยงกับประชาชน สามารถกำหนดความอยู่รอดของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ตามใจชอบ

จุดมุ่งหมายที่ 1 นั้นล้มเหลวเพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่เออออด้วย จนต้องใช้กลไกที่สร้างไว้ตามจุดมุ่งหมายที่ 2 เข้าจัดการ ทำให้สามารถเปลี่ยนรัฐบาลไปได้ แต่ก็ถูกประชาชนปฏิเสธอีกในเวลาต่อมา


หากปล่อยให้เหตุการณ์บ้านเมืองเป็นไปตามกรอบของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 การที่ผู้ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนจะเข้ากำกับควบคุมความเป็นไปของบ้านเมืองอย่างเบ็ดเสร็จย่อมเป็นไปไม่ได้


นั่นจึงนำมาซึ่งการรัฐประหารครั้งที่ผ่านมา ในปี 2557


มองจากจุดหมุ่งหมายทั้งสองข้อดังกล่าว ผู้ที่ไม่เชื่อถือในระบอบประชาธิปไตย ไม่เชื่อถือในประชาชนและการเลือกตั้งย่อมถือว่าการรัฐประหารเมื่อ 19 ปีที่แล้วเป็นการ “เสียของ”


หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วง 11 ปีครึ่งที่ผ่านมาก็เพื่อไม่ให้ "เสียของ”


สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองว่า “เสียของ” ที่ไม่บรรลุจุดมุ่งหมาย อีกคนมองว่าค่อยยังชั่วที่ไม่บรรลุจุดมุ่งหมาย ถ้าบรรลุจุดมุ่งหมายโดยไม่ "เสียของ” อาจเป็นความ “เสียหาย” ยิ่งกว่าที่เกิดขึ้นไปแล้วมากนัก


จากความพยายามจะบรรลุเป้าหมายของการรัฐประหารเมื่อ 19 ปีก่อน ทำให้เกิดการทำลายพรรคการเมืองและนักการเมืองจำนวนมาก การปลดนายกรัฐมนตรีหลายคน การล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอันเป็นการหักล้างมติของประชาชนโดยขัดต่อหลักนิติธรรม ตลอดจนการเสื่อมถอยของหลักการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างอำนาจอธิปไตย องค์กรอิสระถูกทำให้ขาดความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรม และความน่าเชื่อถือของระบบยุติธรรมของประเทศถูกกระทบอย่างร้ายแรง ทั้งหมดนี้มีรากจากการจัดทำรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งทำให้อำนาจอธิปไตยมิได้อยู่กับประชาชน และกำหนดให้องค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนมีอำนาจเหนือฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ พร้อมทั้งตอกย้ำบทบาท “ตุลาการภิวัฒน์” ในการเข้ามาจัดการการเมืองจนบิดเบือนเจตจำนงของประชาชน


ที่น่าสลดใจอย่างมากเรื่องหนึ่งก็คือการรัฐประหารเมื่อ 19 ก่อนมีข้ออ้างอยู่ข้อหนึ่งคือจำเป็นต้องเข้าควบคุมสถานการณ์เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้น แต่หลายปีที่ผ่านมาปรากฏว่าความขัดแย้งในสังคมไทยกลับยิ่งทวีความหนักหน่วงรุนแรงมากขึ้นอย่างไม่อาจเปรียบเทียบกันได้เลย


ความขัดแย้งที่ถูกนำมาเป็นข้ออ้างเพียงประการเดียวของการรัฐประหารครั้งล่าสุด


19 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยตกอยู่ในสภาพถอยหลังและย่ำอยู่กับที่ ไม่มีรัฐบาลใดสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิผล บ้านเมืองขาดเสถียรภาพและมีความขัดแย้งแตกแยกที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะแก้ไขให้ดีขึ้นได้


ไม่อาจจินตนาการได้ว่าหากการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 บรรลุจุดมุ่งหมายอย่างสมบูรณ์ จะเกิดความเสียหายร้ายแรงยิ่งกว่าที่ผ่านมาสักเพียงใด


ที่แน่ๆ เราได้เรียนรู้ว่าเมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้นครั้งหนึ่ง ๆ นั้น สามารถมีผลเสียหายอย่างต่อเนื่องลึกซึ้งและยาวนาน ไม่ใช่แค่มีผู้ทำรัฐประหารผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเพียงเท่านั้น

—----------

จาตุรนต์ ฉายแสง

อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย



(ท่าทีพรรคเพื่อไทย)


19 กันยายน2568 พรรคเพื่อไทยเผยแพร่บทความในโอกาสครบรอบ 19 ปีรัฐประหาร จาก 2549-2568 ไว้น่าสนใจ


วิกฤตการเมืองวนลูป รปห. 49 ทำลาย ‘ไทยรักไทย’ จากเดินเกมมวลชน ถึงยึดอำนาจ ตั้ง คตส. จับทักษิณเข้าเรือนจำ

.

ree

การเมืองไทยหลังรัฐประหารปี 2549 คือจุดหักเหครั้งใหญ่ที่ทำให้หลักนิติรัฐ และระบอบประชาธิปไตยถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง สิ่งที่ถูกนำเสนอว่าเป็นการ “แก้ปัญหาระบอบทักษิณ” แท้จริงแล้วกลับเป็นการทำลายโครงสร้างทางการเมืองที่ตั้งอยู่บนเสียงประชาชน คล้ายกับการ “จุดไฟเผาทั้งป่าเพื่อล่าหนูเพียงตัวเดียว” เมื่อรัฐทุ่มทุกกลไกเพื่อล้มผู้นำที่ประชาชนเลือกตั้ง ผลที่ตามมาคือการเปิดช่องให้กลไกนอกรัฐสภาเข้ามามีบทบาทเหนืออำนาจของประชาชนอย่างชัดเจน

.

ประเทศไทยในเวลานั้นไม่ได้สูญเสียเพียงนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ ชินวัตร หรือพรรคไทยรักไทย แต่สิ่งที่หายไปคือโอกาสเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่กำลังเดินหน้า เสียงของประชาชนที่ถูกให้ความหมายผ่านการเลือกตั้ง กลับถูกตีตราด้วยวาทกรรม “โง่ จน เจ็บ” เพื่อบั่นทอนความชอบธรรมของ 1 สิทธิ 1 เสียง การเมืองที่เคยเป็นเครื่องมือยกระดับชีวิตผู้คน กลับถูกหยุดยั้งด้วยการยุบพรรค การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ และการถ่ายโอนอำนาจให้กับวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

.

บทเรียนจากปี 2549 ทำให้เห็นสูตรสำเร็จของการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเป็นระบบ เริ่มจากการระดมมวลชนรายสัปดาห์ ใช้ข่าวปลอมและวาทกรรมโจมตีเพื่อสร้างความชอบธรรม ก่อนจะตามมาด้วยบทบาทของตุลาการและองค์กรอิสระในการตัดสินใจแทนเสียงประชาชน และปิดฉากด้วยการเข้ายึดอำนาจโดยกองทัพ สูตรสำเร็จนี้ไม่เพียงล้มรัฐบาลไทยรักไทย แต่ยังสร้างแบบแผนที่ส่งผลสะเทือนต่อการเมืองไทยเรื่อยมา

.

ความคิดเห็น


ดาวน์โหลด (1).png

เพื่อให้ทุกท่านสามารถติดตามประเด็นวิเคราะห์เจาะลึกผ่านทาง CLOSE-UP THAILAND เชิญเพิ่มเพื่อนทางไลน์ @closeupthailand

bottom of page