"หนูวิชั่น""ชูแนวคิดปรับโครงสร้างประเทศ เดินหน้าเศรษฐกิจสีเขียว หนุนเกษตร - SMEs ก้าวสู่ OECD ฟื้นเศรษฐกิจไทย
- Close Up Thailand
- 10 ต.ค.
- ยาว 2 นาที
·

.
เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา . นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติในฐานะสุดยอด CEO ประจำปี พ.ศ 2568 "CEO Econmass Award 2025" พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "Rest โครงสร้างประเทศ Recovery เศรษฐกิจไทย" ในงานสัมมนาใหญ่ประจำปี 2568 โดยมี ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประกาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คณะผู้บริหารทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมในงาน ณ โรงละครอักษรา King Power กรุงเทพฯ
.
ในการนี้ นายกรัฐมนตรี มอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติในฐานะสุดยอด CEO ประจำปี 2568 ได้แก่ รางวัลสุดยอด CEO รุ่นใหญ่ รุ่นกลาง และรุ่น SMEs รวมทั้งสิ้น 20 รางวัล อาทิ สาขาเกษตรและอาหาร สาขาสินค้าอุปโภคบริโภค สาขาธุรกิจการเงิน สาขาเทคโนโลยี สาขาสินค้าอุตสาหกรรม สาขาบริการ สาขาทรัพยากร เป็นต้น
.
นายอนุทิน กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลทุกท่าน รางวัลนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความพร้อมและความเข้มแข็งของผู้ประกอบการ รวมถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ว่าเรายังมีความหวังและมีอนาคตอย่างแน่นอน
.
"ในช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดช่วงหนึ่งของประเทศ พี่น้องประชาชนกำลังตั้งคำถามว่า ประเทศไทยจะเดินไปทางไหนต่อ จะรอดไหมท่ามกลางสงครามการค้า ปีหน้าจะเกิดวิกฤติอะไรขึ้นอีก จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ บัณฑิตจบใหม่จะมีงานทำหรือไม่ หรือแม้แต่คำถามว่า “เราจะกล้ามีลูกไหมในโลกที่ผันผวนเช่นนี้” และ “ใครจะดูแลเราในยามแก่เฒ่า” สิ่งเหล่านี้สะท้อนความจริงว่า โลกทุกวันนี้อยู่ยากกว่าสมัยก่อนมาก ทั้งจากสงคราม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และโรคอุบัติใหม่ ทั้งหมดนี้เป็นคำใหม่ ๆ ที่เรากำลังเผชิญร่วมกันในยุคนี้" นายอนุทิน กล่าว
.
นายอนุทิน กล่าวต่อไปอีกว่า โลกของวันพรุ่งนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรมอย่างมหาศาล ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะการปฏิวัติของเทคโนโลยี AI ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในหลายมิติ จะเปลี่ยนทั้งระบบเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน งานบางอย่างจะหายไป ขณะที่บางวิชาชีพจะกลับมาอีกครั้ง ประเทศที่ปรับตัวได้ช้า จะไม่เพียงสูญเสียด้านเศรษฐกิจ แต่ยังสูญเสียอำนาจการต่อรองบนเวทีโลก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
.
"วันนี้เรามาพูดกันถึงการ “รีเซ็ตโครงสร้างประเทศ” และ “ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย” ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่สะท้อนความเป็นจริงว่า ระบบเดิมไม่สามารถตอบโจทย์อนาคตได้อีกต่อไป เราจำเป็นต้องวางรากฐานใหม่เพื่อให้ประเทศไทยก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ คำว่า “รีเซ็ต” หมายถึงการทบทวนและปรับเปลี่ยนวิธีคิด ถามตัวเองว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้นจำเป็นและเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกหรือไม่ องค์กรที่เติบโตได้คือองค์กรที่กล้าปรับตัว ขณะที่องค์กรที่ล่มสลาย คือ องค์กรที่ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เราเคยเชื่อว่าไม่มีวันล้ม อาจพังได้ในชั่วข้ามคืน ส่วนสิ่งที่เราไม่คาดคิดว่าจะเติบโต กลับกลายเป็นผู้ชนะได้ เช่นเดียวกับระบบการเมืองและเศรษฐกิจที่ล้วนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน" นายอนุทิน กล่าวเพิ่มเติม
.
นายอนุทิน กล่าวเน้นย้ำว่า ประเทศไทยเองก็เช่นกัน จำเป็นต้องคิดใหม่ ปรับระบบการทำงานและโครงสร้างให้สอดคล้องกับยุคสมัย ความแตกต่างระหว่างประเทศกับบริษัท คือ ประเทศไม่ได้มุ่งกำไรสูงสุด แต่ต้องมุ่ง “ความมั่นคง” ในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการต่างประเทศ เพื่อให้เกิดสมดุลโดยไม่ให้มิติใดถ่วงรั้งอีกมิติหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงที่เราทำไม่ใช่เพียงการปรับนโยบาย แต่คือการเปลี่ยน “วิธีคิด” ให้เกิดการบริหารจัดการแบบบูรณาการ ร่วมมือกันจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน
.
"ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตนได้เร่งวางรากฐานใหม่ให้กับประเทศ โดยเริ่มจาก “การรีเซ็ตด้านความมั่นคง” เพราะก่อนที่เศรษฐกิจจะเดินหรือวิ่งต่อไปได้ ความมั่นคงต้องชัดเจนทั้งภายในและภายนอก รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยใช้พลังทางการทูต การทหาร และเศรษฐกิจ เพื่อคืนสันติภาพให้กับพี่น้องประชาชน เปลี่ยนจากความเครียดเป็นความร่วมมือในอนาคต พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังมุ่งจัดการกับภัยสังคมใหม่ ๆ ที่กัดกร่อนประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ และการหลอกลวงทางเทคโนโลยี ซึ่งล้วนทำลายชีวิตประชาชนและบั่นทอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ตนจึงได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานทำงานร่วมกันอย่าง “เอกภาพ” หรือ Unity โดยยึดหลักนิติธรรม ความโปร่งใส และความเป็นธรรม พร้อมเดินหน้าปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง เพราะสิ่งนี้คือต้นทุนแฝงที่ฉุดรั้งระบบเศรษฐกิจของประเทศ" นายอนุทิน กล่าว
.
ประเทศไทยกำลังอยู่ในกระบวนการสมัครเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งจะยกระดับมาตรฐานของประเทศ โดยเน้นเรื่อง “ความยุติธรรม” จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่เราต้องปฏิรูประบบยุติธรรม และปรับปรุงกฎหมายระเบียบต่าง ๆ ให้ได้มาตรฐานสากล ตอบสนองต่อสังคมโลกปัจจุบัน ในด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลชุดนี้มุ่งสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ ส่งเสริมภาคเกษตร และสนับสนุนธุรกิจ SMEs ให้เติบโต การลดค่าครองชีพและค่าพลังงาน รวมถึงลดค่าขนส่ง ล้วนเป็นแนวทางเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
.
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดำเนิน “โครงการคนละครึ่งพลัส” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก คาดว่าจะเกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินกว่า 100,000 ล้านบาท จากงบประมาณภาครัฐ 44,000 ล้านบาท และการอัดฉีดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องและเพิ่มรายได้ในวงกว้าง รวมถึงในด้านความมั่นคงทางพลังงานและการเกษตร รัฐบาลส่งเสริมแนวทาง Smart Farming และพลังงานสะอาด โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ในภาคครัวเรือนและเกษตรกรรม เพื่อสร้างเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ที่เติบโตไปพร้อมกับกติกาโลก
.
ภาครัฐยังให้ความสำคัญกับการยกระดับภาคเอกชนและ SMEs ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามการค้า จึงเร่งเจรจาข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tax Agreement) และผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างจริงจัง ด้วยการนำ AI และ Big Data มาใช้ในกระบวนการผลิต การค้า และการบริการ รวมถึงอุตสาหกรรมอนาคต เช่น เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง และ Green Economy
.
ตนมั่นใจว่า ประเทศไทยจะสามารถ “กระโดดเติบโตใหม่” และกลับมาเป็นผู้นำเศรษฐกิจในภูมิภาคได้อีกครั้ง ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน การฟื้นฟูนี้ต้องอาศัยศักยภาพของคนไทยทุกคน รวมถึงการเตรียมพร้อมสู่ “สังคมสูงวัย” ที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐบาลจึงต้องสร้างระบบให้ผู้สูงอายุมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น การปรับอายุเกษียณเป็น 65 ปี ในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการออกแบบเมือง รัฐบาลส่งเสริม “Universal Design” ที่เอื้อต่อผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง เช่น พื้นที่สาธารณะ ห้างร้าน ที่จอดรถ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย กำลังดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
.
รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้ปัญหา “เด็กเกิดน้อย” กลายเป็นวิกฤติในอนาคต ทุกหน่วยงานต้องส่งเสริมให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพ พัฒนาทักษะและแรงบันดาลใจ ควบคู่กับการรีเซ็ตสิ่งแวดล้อมและระบบดิจิทัล สู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมาย Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2050 พร้อมจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตมาตรฐาน เพื่อผลักดันพลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม รัฐบาลยังได้ออกกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.จัดการอากาศสะอาด และ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งไม่เพียงเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือการลงทุนระยะยาวเพื่อความยั่งยืนของประเทศตามหลักสหประชาชาติ เช่นเดียวกันในด้านดิจิทัล รัฐบาลจะเร่งสร้าง “รัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ” ที่เชื่อมโยงทุกระบบทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน
.
ในช่วงท้าย นายอนุทิน กล่าวเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนมองอนาคตร่วมกัน ประเทศไทยไม่ขาดศักยภาพ แต่ยังขาดระบบที่เปิดโอกาสให้ศักยภาพนั้นได้ทำงานอย่างเต็มที่ ขอให้เรามองประเทศไทยด้วยสายตาที่เป็นมิตรและจริงใจ เห็นประเทศไทยในรูปแบบที่พร้อมจะเติบโตอีกครั้งอย่างยั่งยืน แข่งขันได้ในภูมิภาค และยืนหยัดอย่างมั่นคงบนเวทีโลก








.png)
ความคิดเห็น