อนาคตเศรษฐกิจและการลงทุนภายใต้รัฐบาลใหม่ 4 เดือนข้อเสนอมาตรการเร่งด่วน 7 ข้อ ก่อนคืนอำนาจให้ประชาชน มุ่งสร้างเสถียรภาพการเมืองเพื่อปรับโครงสร้างและปฏิรูปเศรษฐกิจ
- Close Up Thailand
- 31 ส.ค.
- ยาว 1 นาที
ที่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กรุงเทพฯ 16.00 น. วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2568

รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ระบบและสถาบันทางเศรษฐกิจ สถาบันทางด้านการลงทุนของไทยมีความมั่นคงและเข้มแข็งระดับหนึ่งในการรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลย่อมนำมาสู่ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายและมาตรการต่างๆทางเศรษฐกิจ การชะลอตัวของการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนย่อมเกิดขึ้น การชะลอตัวของการลงทุนจะมากหรือน้อยอยู่ที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้รวดเร็วแค่ไหนและองค์ประกอบของคณะรัฐมนตรีประกอบไปด้วยคนดีมีความรู้ความสามารถหรือไม่ ความเชื่อมั่นการลงทุนอาจสั่นคลอนมากขึ้นหากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว แม้นจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้แล้ว แต่มีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลใหม่อาจอยู่ไม่นานยิ่งทำให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างและการปฏิรูปเศรษฐกิจไม่สามารถทำได้ในระยะนี้ รวมทั้งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รอกระบวนการตัดสินใจต้องชะลอออกไปก่อน จนกว่าหลังการเลือกตั้งในอีก 4-6 เดือนข้างหน้า ซึ่ง เราหวังว่าจะได้รัฐบาลเสียงข้างมากที่มีเสถียรภาพ
หากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองยังเป็นไปตามวิถีทางแห่งกฎหมายและครรลองของระบอบประชาธิปไตยตามกลไกรัฐสภา ผลกระทบทางเศรษฐกิจและการลงทุนจะอยู่ในระดับจำกัดและสามารถบริหารจัดการได้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ระดับ 2% ยังมีความเป็นไปได้ โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3% และ คาดว่า เศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทั้งการขยายตัวของภาคส่งออกที่อาจเริ่มติดลบตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป การชะลอตัวของภาคการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกอาจติดลบ โดยการขยายตัวของภาคการลงทุนเป็นบวกในช่วงครึ่งปีแรก การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 1.4% ภาครัฐขยายตัว 17.5% หากรัฐสภาสามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ในวันที่ 3 กันยายน ตลาดการเงินและตลาดหุ้นไทยน่าจะตอบสนองในทางบวก
รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ขอเสนอมาตรการเร่งด่วน 7 ข้อต่อรัฐบาลใหม่ให้มีการดำเนินการก่อนคืนอำนาจให้ประชาชน ดังนี้ มาตรการแรก เจรจาหารือกับรัฐบาลกัมพูชาเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดการปะทะกับตามแนวชายแดนไทยกัมพูชารอบใหม่ เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนและทหาร ป้องกันความเสียหายทางเศรษฐกิจและทรัพย์สิน มาตรการที่สอง ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกัมพูชาให้กลับสู่ภาวะปรกติและเปิดด่านชายแดนเพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจการค้าสามารถดำเนินการได้ตามปรกติ มาตรการที่สาม เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 โดยเฉพาะงบลงทุนและเร่งรัดการดำเนินการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับอนุมัติแล้ว มาตรการที่สี่ สนับสนุนการขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชนให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มาตรการที่ห้า ออกมาตรการลดผลกระทบที่เกิดจากกำแพงภาษีและมาตรการกีดกันการค้าจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมโดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีและรักษาการจ้างงาน มาตรการที่หก มาตรการดูแลผลกระทบจากความผันผวนของสภาพภูมิอากาศต่อภาคเกษตรกรรมและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ มาตรการที่เจ็ด มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น
รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวต่อว่า ส่วนนโยบายหรือมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจคงไม่สามารถดำเนินการอะไรได้มากนักในรัฐบาลใหม่ที่อายุ 4 เดือน การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการปฏิรูปเศรษฐกิจในบางมิตินั้นต้องอาศัยความมีเสถียรภาพทางการเมืองและรัฐบาลต้องอยู่ยาวนานพอ อาจจะเกิดขึ้นได้หลังการเลือกตั้งหากได้รัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาด การถดถอยลงของภาคส่งออกจากการชะลอของเศรษฐกิจโลก เป็นสิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องหันมาเอาใจใส่อย่างจริงจังในเรื่องการยกระดับขีดความสามารถของสินค้าไทยและการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้นประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมของไทย (Total Factor Productivity of Thailand) นั้นยังมีอัตราการเติบโตต่ำ ธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีผลิตภาพสูงส่วนใหญ่เป็นโรงงานการผลิตของบรรษัทข้ามชาติที่มีการใช้เทคโนโลยีและทุนเข้มข้น งานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพการผลิตรวมของไทยขยายตัวต่ำกว่า 1.2-1.3% ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระดับประสิทธิภาพในการผลิต (Productive Efficiency) อยู่กึ่งกลางระหว่างประเทศที่ใช้แรงงานเป็นหลักและประเทศที่ใช้ทุนเป็นหลักจึงสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันนี้จะยาวนานมากจนกว่าไทยสามารถพัฒนากิจการที่มูลค่าเพิ่มสูง การผลิตใช้ปัจจัยทุนหรือเทคโนโลยีเข้มข้น พร้อมกับ สามารถพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีของตัวเอง ปัจจัยประสิทธิภาพการผลิตนี้เป็นสิ่งที่ส่งผลต่อพื้นฐานความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ซึ่งแตกต่างจากปัจจัยค่าแรง นโยบายสาธารณะ และ อำนาจตลาดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วและใช้เวลาสั้นกว่ามาก ภาวะการตกต่ำของภาคส่งออกไทยโดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมบางตัวจะเกิดขึ้นอย่างยาวนานหากไม่สามารถปรับปรุงผลิตภาพการผลิตได้ จากประสบการณ์ของประเทศที่สามารถก้าวข้ามพ้นกับดักรายได้ระดับปานกลางได้ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ นั้น ภาครัฐจะต้องเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาระดับความสามารถทางการผลิตของประเทศเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลก
การกดค่าแรงไม่ใช่นโยบายที่ถูกต้อง เพื่อนร่วมชาติผู้ใช้แรงงานต้องได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนแรกเข้าสูงขึ้นเป็นนโยบายที่จะช่วยบรรเทาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ต้องมีมาตรการเชิงรุกอื่นๆเพิ่มเติมจึงสามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเรื้อรังที่ต้นตอได้ การเติบโตด้วยการขับเคลื่อนจากฐานทรัพยากร และ ฐานแรงงานราคาถูกนั้นได้มาถึงขีดจำกัดอย่างชัดเจนและพ้นยุคสมัยไปแล้ว ความทรุดโทรมทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของประเทศ แม้นแต่อากาศและน้ำสะอาดก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ในหลายพื้นที่ของประเทศ ภาคการผลิตของเศรษฐกิจไทยไม่สามารถอาศัยแรงงานทักษะต่ำราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านไปเรื่อยๆโดยไม่คิดยกระดับทักษะแรงงานเหล่านี้ เราควรปฏิบัติต่อแรงงานต่างด้าวอย่างมีมาตรฐานและสิ่งนี้เป็นการแสดงความมีศิวิไลซ์ของสังคมไทย การปฏิรูปเศรษฐกิจให้เกิดความเท่าเทียมจึงต้องเกี่ยวข้องกับการจัดการเรื่องทุนโดยเฉพาะทุนขนาดใหญ่ที่มีลักษณะผูกขาด ให้กลาย เป็นทุนที่แข่งขันกันอย่างเสรี เราต้องมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่อาศัยนวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ไม่ใช่มีเพียงกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่อาศัยสัมปทานผูกขาดจากภาครัฐ ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการทางภาษีในการแบ่งปันกำไรส่วนเกินมากระจายให้กับสังคมผ่านระบบสวัสดิการหรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจไปยังพื้นที่ยากจน
รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวต่อว่า การปฏิรูปทางด้านระบบสถาบันและกฎระเบียบ (Institution and Regulation Reform) ต้องมุ่งไปที่การลดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ความด้อยประสิทธิภาพ ขั้นตอนที่ล่าช้า และทำให้เกิดความแน่นอนต่อเนื่อง ความคงเส้นคงวาและความมั่นคงเชื่อถือได้ของระบบสถาบันและกฎระเบียบ การปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานต้องเน้นไปที่การลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ในมิติทางภูมิศาสตร์ทางด้านเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน ไทยมีความพร้อม ในการเป็นศูนย์กลางทางโลจิสติกส์โดยเฉพาะการเชื่อมโยงการขนส่งทางบกได้เป็นอย่างดี
การปฏิรูประบบสวัสดิการสังคม มุ่งไปที่การสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำ และวางแผนให้เกิดความยั่งยืนทางการเงิน
การปฏิรูประบบการศึกษา ต้องเน้น “คุณภาพการศึกษา” ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ การพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์นอกจากเป็นไปเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวแล้วยังมีความจำเป็นต่อการหักล้างกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากสังคมผู้สูงอายุที่ไทยต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยประสบกับปัญหาความไม่สอดคล้องระหว่างความต้องการและอุปทานในตลาดแรงงาน การผลิตคนสู่ภาคการผลิตของเรายังไม่ได้อิงกับอุปสงค์ของระบบเศรษฐกิจเท่าไหร่นัก แต่สถาบันการศึกษาเลือกผลิตคนตามความพร้อมของตน นอกจากนี้ระบบการศึกษายังผลิตคนตามความนิยมและค่านิยมในการเรียนมากกว่าความต้องการจริงๆในระบบเศรษฐกิจ ผลิตคนจบมหาวิทยาลัยออกมาจำนวนมากเพราะมองว่าคนจบจากมหาวิทยาลัยมีสถานะที่สูงกว่า ระบบการศึกษาไทย จึงเป็น Supply Driven Education System คุณภาพทางด้านการศึกษาระดับสูงของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากการลงทุนทางด้านวิจัยและการค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการอุดมศึกษาไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความด้อยลงของคุณภาพการศึกษาสะท้อนมาที่แรงงานที่มีผลิตภาพต่ำ การปฏิรูปการศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้น จะทำให้ผลิตภาพแรงงานสูงขึ้นพร้อมกับคุณภาพความเป็นพลเมือง สิ่งนี้จะทำให้เศรษฐกิจและระบอบประชาธิปไตยมั่นคงเข้มแข็ง








.png)
ความคิดเห็น