top of page

เปิดชัดๆ

  • รูปภาพนักเขียน: Close Up Thailand
    Close Up Thailand
  • 1 วันที่ผ่านมา
  • ยาว 4 นาที

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี และมีมติิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิิ

                     คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ


                     1. เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการคุณสู้ เราช่วย ระยะที่ 2 ของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ตามหลักการในข้อ 2.1 โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณตามที่ได้รับการจัดสรรเพื่อดำเนินโครงการคุณสู้ เราช่วย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 (ตามข้อ 1.1) และได้มีการปรับปรุงกรอบวงเงินงบประมาณของแต่ละสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions: SFIs) ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและภาระที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแล้ว ทั้งนี้ มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ทั้ง 6 แห่ง ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ (สงป.) เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพคล่องของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) แต่ละแห่งต่อไป


                     2. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบ จาก COVID-19 ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ที่เสนอในข้อ 2.2.1 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป


                     3. รับทราบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาลตามที่เสนอในข้อ 2.2.2 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปรวมทั้งรับทราบเป้าหมายลูกหนี้ที่จะได้รับการช่วยเหลือลดภาระหนี้ผ่านมาตรการของ กค. ตามที่เสนอในข้อ 3.


                     1. เรื่องเดิม


                               1.1 โครงการคุณสู้ เราช่วย


                               คณะรัฐมนตรีมีมติ (11 ธันวาคม 2567) เห็นชอบการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SMEs) (โครงการคุณสู้ เราช่วย) ของธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. ธอท. ธสน. และ ธพว. พร้อมอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวนรวมทั้งสิ้น 38,920 ล้านบาท เพื่อชดเชยการสูญเสียรายได้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ทั้ง 6 แห่ง ตามโครงการคุณสู้ เราช่วย และรับทราบการปรับลดอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF Fee) เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินมาตรการฯ รวมทั้งมีมติในส่วนอื่น ๆ


                               1.2 มาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19


                               คณะรัฐมนตรีมีมติ (5 พฤษภาคม 2564) เห็นชอบมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 รวมถึงอนุมัติงบประมาณวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินมาตรการดังกล่าว มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้


 


 

หัวข้อ

สาระสำคัญ

วัตถุประสงค์

เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตให้แก่ประชาชนและบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19

แนวทางการ


ดำเนินการ

ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท


(แห่งละ 10,000 ล้านบาท) ให้แก่ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้มีรายได้ประจำ


(ยื่นคำขอสินเชื่อ ผ่านธนาคารออมสิน) และเกษตรกรรายย่อยหรือลูกจ้างภาคการเกษตร (ยื่นคำขอสินเชื่อ ผ่าน ธ.ก.ส.) วงเงินสินเชื่อไม่เกินรายละ


10,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ไม่เกิน ร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี (ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรก)

ระยะเวลาการยื่น


ขอสินเชื่อ

ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564  ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ


(4 มกราคม 2565) ขยายระยะเวลาออกไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2565

งบประมาณ

รัฐบาลชดเชยความเสียหายที่เกิดจากหนี้ NPLs รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 10,000 ล้านบาท (แห่งละไม่เกิน 5,000 ล้านบาท)

                    


                     2. สาระสำคัญของเรื่อง


                               2.1 แนวทางการดำเนินโครงการคุณสู้ เราช่วย ระยะที่ 2


                               ภายใต้เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง จากทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ส่งผลให้ความสามารถทางการแข่งขันลดลง และความท้าทายจากนโยบายการค้าโลกที่มีความไม่ชัดเจน และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ขณะที่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางจำนวนมากยังคงเผชิญกับปัญหาในการชำระหนี้ส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อยังมีแนวโน้มปรับด้อยลง โดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และรายย่อย ดังนั้น กค. โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้มีการหารือร่วมกันเพื่อพิจารณาขยายคุณสมบัติโครงการคุณสู้ เราช่วย ภายใต้ “โครงการคุณสู้เราช่วย ระยะที่ 2” ซึ่งมีหลักการสำคัญเช่นเดียวกับการดำเนินโครงการคุณสู้ เราช่วย ในระยะแรก คือ (1) ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้หนี้ (2) มาตรการเฉพาะกลุ่มที่เน้นช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีโอกาสรอดให้สามารถฟื้นตัวกลับมาชำระหนี้ได้ หรือกลับมาเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้และ (3) เป็นมาตรการชั่วคราว ที่มีแนวทางป้องกันมิให้ลูกหนี้เสียวินัยในการชำระหนี้ (Moral Hazard) โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้


                                         2.1.1 มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ ขยายคุณสมบัติลูกหนี้ให้ครอบคลุมลูกหนี้ที่มีสถานะดังต่อไปนี้ โดยยังคงใช้ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 (Cut-off Date)

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567  (ตามข้อ 1.1)

ข้อเสนอของ กค. ในครั้งนี้


 

(1) หนี้ที่มีการค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า 30 วัน จนถึง 365 วัน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ หรือ

(2) หนี้ที่ไม่มีการค้างชำระหรือค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ที่เคยมีประวัติการค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า 30 วัน และได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามมาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 รวมถึงภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ในปี 2567

 

(3) หนี้ที่ไม่มีการค้างชำระหรือค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันไม่เกินกว่า 30 วัน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ


ที่เคยมีประวัติการค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันไม่เกินกว่า 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 และได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามมาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน


ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 รวมถึงภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ในปี 2567

 

(4) หนี้ที่มีการค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า 365 วันเป็นต้นไป นับแต่วันถึงกำหนดชำระ

ทั้งนี้ ประเภทสินเชื่อและวงเงินสินเชื่อ สถาบันการเงินที่เข้าร่วมมาตรการ และรูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไขของมาตรการ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 (ตามข้อ 1.1)

                               2.1.2 มาตรการจ่าย ปิด จบ ขยายคุณสมบัติลูกหนี้และประเภทสินเชื่อ ดังนี้

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567


(ตามข้อ 1.1)

ข้อเสนอของ กค. ในครั้งนี้


 

ลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่ถูกจัดชั้นเป็น NPLs และมี


ภาระหนี้คงค้างไม่เกิน 5,000 บาท โดยครอบคลุม สินเชื่อทุกประเภทที่กู้ในนามบุคคลธรรมดา โดยใช้


ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 (Cut-off Date)


 

(1) ลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่ค้างชำระเงินต้นหรือ


ดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า 90 วัน


นับแต่วันถึงกำหนดชำระ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567


(2) ลูกหนี้ต้องมีภาระหนี้คงค้าง ณ วันที่ 31 ตุลาคม2567 ไม่เกินเพดานที่กำหนดของแต่ละประเภทสินเชื่อ ดังนี้


  (2.1) กรณีสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) กำหนดภาระหนี้คงค้างไม่เกิน 10,000 บาทต่อบัญชี


  (2.2) กรณีสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Secured Loan) กำหนดภาระหนี้คงค้างไม่เกิน 30,000 บาท ต่อบัญชี และมีวงเงินสินเชื่อต่อบัญชีตามที่กำหนดโดยลูกหนี้แต่ละรายสามารถเข้าร่วมมาตรการได้มากกว่า 1 บัญชี

ทั้งนี้ สถาบันการเงินที่เข้าร่วมมาตรการ รูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไขของมาตรการ เป็นไปตาม


มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 (ตามข้อ 1.1)

                               2.1.3 เพิ่มเติมมาตรการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มเติมสำหรับหนี้ NPLS ที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) (มาตรการจ่าย ตัด ต้น) (เป็นมาตรการใหม่ที่เสนอมาในครั้งนี้)

หัวข้อ

สาระสำคัญ

วัตถุประสงค์

เพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ลูกหนี้สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) ที่มียอดหนี้ไม่สูงและเป็น NPLs เพื่อให้ลูกหนี้สามารถปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น

สถาบันการเงิน


ที่เข้าร่วมมาตรการ

(1) ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งรวมถึงบริษัทลูกในกลุ่มธุรกิจ


(2) สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. ธอท. ธสน. และ ธพว.

คุณสมบัติลูกหนี้และประเภทสินเชื่อ

เป็นหนี้ที่ค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า 90 วัน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ และเป็นสินเชื่อ Unsecured Loan ที่มียอดหนี้คงค้างไม่เกิน 50,000 บาทต่อบัญชี ทั้งนี้ ประเภทสินเชื่อไม่รวมถึงประเภทลูกหนี้ตามมาตรการ จ่ายตรง คงทรัพย์ โดยต้องเป็นสัญญาสินเชื่อที่ทำขึ้นก่อนวันที่


1 มกราคม 2567และสถานะลูกหนี้ข้างต้นใช้ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 (Cut-off Date)

รูปแบบการให้


ความช่วยเหลือและเงื่อนไข


 

(1) ปรับโครงสร้างหนี้ให้มีเงื่อนไขเป็นการผ่อนชำระคืนเป็นงวด (Term Loan)และกำหนดอัตราผ่อนชำระค่างวดต่อเดือนขั้นต่ำที่ร้อยละ 2 ของยอดเงินต้นคงค้างสินเชื่อ ก่อนเข้าร่วมมาตรการ เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยค่างวดที่ลูกหนี้ชำระจะนำไปชำระ ต้นเงินทั้งจำนวน สำหรับดอกเบี้ยจะพักการชำระไว้ทั้งหมดในช่วงระยะเวลา 3 ปี


(2) ลูกหนี้ที่อยู่ในมาตรการจะไม่สามารถก่อหนี้อุปโภคบริโภคใหม่ใน 12 เดือนแรก


(3) หากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ตลอดระยะเวลา 3 ปี สถาบันการเงินจะยกเว้นดอกเบี้ยที่พักไว้ให้ลูกหนี้ โดยสถาบันการเงินจะขอชดเชยดอกเบี้ยจากแหล่งเงินทุนภาครัฐร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยที่ยกเว้นให้ลูกหนี้ และสถาบันการเงินจะรับภาระร้อยละ 50

                                         2.1.4 แหล่งเงินจากภาครัฐในการดำเนินโครงการคุณสู้ เราช่วย ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 (ตามข้อ 1.1)


                               2.2 มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) กค. ได้มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือลดภาระให้แก่ลูกหนี้รายย่อยของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ซึ่งมีความเปราะบางมากกว่าลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้


                                         2.2.1 การดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19

ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา

ลูกหนี้ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564


(ตามข้อ 2.2) ที่ยังไม่มีความพร้อมในการชำระหนี้คืน ดังนี้


     สถาบันการเงิน                                        บัญชี                                   ภาระหนี้คงเหลือ


ธนาคารออมสิน                                        291,132 บัญชี                             2,732 ล้านบาท


ธ.ก.ส.                                                     13,146 บัญชี                                 70 ล้านบาท


รวม                                                   304,278 บัญชี                          2,802 ล้านบาท


 


โดยบางส่วนเป็นลูกหนี้ที่เคยมีประวัติการชำระหนี้ที่ดีมาตลอด แต่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ส่งผลให้ขาดสภาพคล่องจนไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้ และลูกหนี้บางส่วนที่เป็นหนี้ครั้งแรกเพราะต้องการเงินทุนไปหมุนเวียนในช่วงสถานการณ์ COVID-19 แต่ไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้จนกลายเป็น NPLs ซึ่งหากไม่ได้รับการช่วยเหลือจะส่งผลให้ลูกหนี้มีประวัติเป็นหนี้เสียในข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau: NCB) และทำให้สูญเสียโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินในอนาคต

แนวทางการช่วยเหลือ

มติคณะรัฐมนตรี (5 พฤษภาคม 2564 ตามข้อ 2.2)

ข้อเสนอของ กค. ในคราวนี้

รัฐบาลชดเชยความเสียหายที่เกิดจากหนี้ NPLs


รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 10,000 ล้านบาท


 

ให้ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. ดำเนินการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ตามสมควรแก่กรณี โดยที่ยังไม่ดำเนินการตัดหนี้สูญออกจากบัญชี พร้อมทั้งให้ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. นำงบประมาณที่ได้รับชดเชยความเสียหายจาก NPLs ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 มาให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้เพื่อไม่ให้เป็น NPLs หรือหมดสิ้นภาระหนี้ที่เกิดจากมาตรการดังกล่าวต่อไป

                                         2.2.2 มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล

แนวทางการช่วยเหลือ

(1) ธนาคารออมสินดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาลอื่น ๆ ที่ได้รับการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจาก NPLs ที่มีภาระหนี้คงเหลือไม่เกิน 40,000 บาท ซึ่งมีจำนวนประมาณ


226,382 บัญชี ภาระหนี้ประมาณ 6,605 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินจะติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ที่มากกว่าเกณฑ์ปกติของธนาคาร และจะดำเนินการปิดบัญชีเนื่องจากลูกหนี้ไม่นำเงินมาชำระและตัดเป็นหนี้สูญทั้งหมด โดยไม่ติดใจทวงถามอีกต่อไป ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้หมดภาระหนี้ หลุดพ้นจากประวัติหนี้เสียและมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เร็วขึ้น


(2) เพื่อให้ความช่วยเหลือครอบคลุมถึงลูกหนี้กลุ่มเกษตรกรและลูกหนี้กลุ่มเปราะบางมากขึ้น เห็นควรให้ธ.ก.ส. พิจารณามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ของลูกหนี้ให้หมดภาระหนี้ได้เร็วขึ้นและหลุดพ้นจากประวัติหนี้เสียโดยเร็ว

                     3. เป้าหมายลูกหนี้ที่จะได้รับการช่วยเหลือลดภาระหนี้ ผ่านมาตรการของ กค.


                     กค. ได้มีมาตรการเพื่อช่วยเหลือลดภาระหนี้ให้กับลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะช่วยเหลือลดภาระลูกหนี้ได้สูงสุด 6.1 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ทั้งสิ้นจำนวน 1.2 ล้านล้านบาท มีผลการดำเนินมาตรการและเป้าหมาย ดังนี้


                               3.1 ผลการดำเนินมาตรการ

มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19

ธนาคารออมสินช่วยเหลือลูกหนี NPLs ตามโครงการฯ เพื่อไม่ให้เป็น NPLs หรือหมดภาระหนี้แล้วจำนวน835,242 บัญชี ภาระหนี้ 5,854 ล้านบาท และ ธ.ก.ส. ช่วยเหลือลูกหนี้แล้วจำนวน 256,921 บัญชี


ภาระหนี้ 1,763 ล้านบาท

การจัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (ARI-AMC)

เป็นการร่วมทุนระหว่างธนาคารออมสินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็น NPLS ให้เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ หรือไกล่เกลี่ยหนี้ โดย ARI-AMC รับโอนหนี้จากธนาคารออมสิน ครั้งที่ 1 แล้ว เมื่อวันที่


9 ตุลาคม 2567  จำนวน 133,687 บัญชี ต้นเงินจำนวน 10,712 ล้านบาท และคาดว่าจะรับโอนลูกหนี้ครั้งถัดไปภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ในเบื้องต้นจำนวน 261,872 บัญชี ต้นเงิน จำนวน 13,168 ล้านบาท

(1) เดิม กค. คาดว่าลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติที่ได้รับการช่วยเหลือผ่านโครงการคุณสู้ เราช่วย มีจำนวน


1.9 ล้านราย หรือ 2.1 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 890,000 ล้านบาท


(2) จากการสำรวจข้อมูลผลการคัดกรองคุณสมบัติจากสถาบันการเงิน ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 พบว่าลูกหนี้ที่ลงทะเบียนและมีคุณสมบัติเข้าข่ายร่วมโครงการได้ จำนวน 0.59 ล้านราย (คิดเป็น ร้อยละ 30 ของลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 1.9 ล้านราย) เป็นยอดหนี้ 430,000 ล้านบาท (คิดเป็น


ร้อยละ 49 ของยอดหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 890,000 ล้านบาท)

                               3.2 เป้าหมายมาตรการ

โครงการคุณสู้ เราช่วย (ระยะที่ 2) (ตามข้อ 3.1)

(1) คาดว่ามีลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติที่ได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติมจำนวน 1.8 ล้านราย หรือ 2.0 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 310,000 ล้านบาท


(2) เมื่อรวมความช่วยเหลือทั้งในโครงการคุณสู้ เราช่วย ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 แล้ว จะสามารถช่วยเหลือ


ลูกหนี้ได้จำนวน 3.7 ล้านราย หรือ 4.1 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 1.2 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 20 ของจำนวนบัญชีสินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์/รถจักรยานยนต์และสินเชื่อธุรกิจทั้งหมด

มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย


 COVID-19 (ตามข้อ 3.2.1)

คาดว่ามีลูกหนี้ของธนาคารออมสินที่มีคุณสมบัติที่ได้รับการช่วยเหลือ จำนวน 291,132 บัญชี ภาระหนี้คงเหลือ 2,732 ล้านบาท และมีลูกหนี้ของ ธ.ก.ส. ที่มีคุณสมบัติที่ได้รับการช่วยเหลือ จำนวน 13,146 บัญชี ภาระหนี้ คงเหลือ 70 ล้านบาท

มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินชื่อตามนโยบายรัฐบาล (ตามข้อ 3.2.2)

คาดว่ามีลูกหนี้ของธนาคารออมสินที่มีคุณสมบัติที่ได้รับการช่วยเหลือจำนวนประมาณ 220,000 บัญชี ภาระหนี้ประมาณ 6,600 ล้านบาท

                     4. กค. ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วยแล้ว

Commentaires


ดาวน์โหลด (1).png

เพื่อให้ทุกท่านสามารถติดตามประเด็นวิเคราะห์เจาะลึกผ่านทาง CLOSE-UP THAILAND เชิญเพิ่มเพื่อนทางไลน์ @closeupthailand

bottom of page