เส้นทางพลังงานสะอาดไทย วิ่งอย่างไรให้ทันโลก
- Close Up Thailand
- 1 นาทีที่ผ่านมา
- ยาว 2 นาที

ท่ามกลางวิกฤตโลกร้อน และแรงกดดันจากความตกลงด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ หลายประเทศทั่วโลกต่างเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจด้วย
โดยในปี 2024 ความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 1,050 TWh โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่พบว่ากว่า 76% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด นำโดยพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม สะท้อนให้เห็นว่า พลังงานสะอาดกำลังกลายเป็น “กำลังหลัก” ในระบบพลังงานโลก และจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ

ดังนั้นประเทศที่สามารถปรับตัวได้เร็ว จะมีโอกาสดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ ได้มากกว่า โดยเฉพาะจากธุรกิจที่จำเป็นต้องใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตามมี 5 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางของนโยบาย การผลิต และการลงทุนในระดับโลก
1.ทิศทางนโยบายของประเทศมหาอำนาจ การเปลี่ยนแปลงผู้นำในประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา มีผลกระทบโดยตรงต่อนโยบายพลังงานสะอาดระดับโลก เห็นได้ชัดจากการประกาศถอนตัวจากข้อตกลงปารีสในปี 2025 และการมีแผนสนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศพัฒนาแล้วเกิดความลังเลในการช่วยเหลือประเทศต่างๆ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
2.การเติบโตของธุรกิจ Data Center ซึ่งต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมากและต่อเนื่อง โดยเฉพาะความต้องการไฟฟ้าที่ “สะอาดและมีเสถียรภาพ” กำลังกลายเป็นแรงผลักให้เกิดการผลิตพลังงานสะอาดในรูปแบบไฮบริดมากขึ้น เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์และลมร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) เพื่อให้ตอบสนองการใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง
3.การปรับตัวของตลาดแผงโซลาร์ จีนซึ่งเป็นผู้ผลิตแผงโซลาร์รายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ขยายกำลังการผลิตอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2022 ทำให้ในปี 2023 กำลังการผลิตแผงทั่วโลกพุ่งสูงกว่าความต้องการใช้มากกว่า 2 เท่า และผู้ผลิตหลายรายแข่งขันกันลดราคา เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด ส่งผลให้ผู้ผลิตรายย่อยในหลายประเทศประสบปัญหา ดังนั้นผู้ผลิตรายใหญ่ในจีนจึงมีการปรับลดการผลิตและกำหนดราคาขั้นต่ำ เพื่อรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรม หากสำเร็จจะส่งผลให้ราคาของแผงกลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมมากขึ้น
4.การเติบโตของตลาดระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ในปี 2024 มูลค่าตลาด ESS ทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 20% โดยเฉพาะในระบบ Utility-scale (ระบบผลิตพลังงานขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายของประเทศ) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมเสถียรภาพของพลังงานสะอาด รวมถึงนโยบายในหลายประเทศที่เริ่มกำหนดให้โครงการโซลาร์และลมต้องติดตั้ง ESS ควบคู่ เช่น จีนที่กำหนดสัดส่วนการติดตั้ง ESS ไว้ที่ 10–30% ของขนาดโครงการ

5.การเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลก โดยในปี 2024 ยอดการใช้ EV ทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 50% จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในจีน สหภาพยุโรป และสหรัฐฯ ซึ่งมี EV เป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของ EV ยังนำมาซึ่งความท้าทายต่อเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้า เนื่องจากความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม หากไฟฟ้าที่ใช้ในการชาร์จยังคงมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งอาจลดทอนประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมของ EV ลงได้
พลังงานสะอาดไทย: ยังเดินช้า แต่ยังมีโอกาสวิ่งให้ทันโลก
แม้ประเทศไทยจะมีความพยายามในการส่งเสริมพลังงานสะอาดเช่นกัน แต่ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากโครงสร้างพลังงานที่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในสัดส่วนที่สูงถึง 85% ในปี 2023 ไทยผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพียง 15% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างชัดเจน สะท้อนว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของไทยยังช้ากว่าหลายประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะเวียดนามที่มีสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดถึง 38%
สถานการณ์นี้อาจกลายเป็น “จุดอ่อน” ในแง่การแข่งขัน และความสามารถในการดึงดูดการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะจากธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาด

แม้ไทยจะยังเดินตามหลังหลายประเทศอยู่บ้าง แต่กระนั้นไทยมี 4 ปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาพลังงานสะอาด ได้แก่
ทำเลที่ตั้งของประเทศที่มีศักยภาพ ในการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ค่อนข้างสูง เหมาะกับการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ แม้พลังงานลมจะยังมีไม่สูงนัก แต่เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วอาจเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ในอนาคตอันใกล้
ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งคาดว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยสำหรับโรงไฟฟ้าใหม่ภายในปี 2030 จะลดลงถึง 27% ในขณะที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยสำหรับโรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลนั้นลดลงประมาณ 5% และไฟฟ้าจากพลังงานลมก็เริ่มเข้าใกล้ระดับต้นทุนที่พอแข่งขันได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การเปรียบเทียบต้นทุนถูกต้องมากขึ้น การคำนวณต้นทุนของการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด ควรจะมีการรวมต้นทุนด้านการกักเก็บพลังงาน และการใช้โรงไฟฟ้าก๊าซที่เข้ามาช่วยเสริมเสถียรภาพด้วย
บทบาทของนโยบายรัฐที่เริ่มเปิดรับมากขึ้น แม้ไทยจะยังไม่เปิดเสรีตลาดไฟฟ้าเหมือนกับหลายประเทศ แต่ก็มีมาตรการที่ช่วยส่งเสริมและเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เช่น โครงการรับซื้อไฟฟ้าแบบ Feed-in Tariff (FiT) สัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชน (Corporate PPAs) และตลาดซื้อขายใบรับรองไฟฟ้าพลังงานสะอาด หากไทยสามารถพัฒนาไปสู่ตลาดที่เปิดกว้างมากขึ้น ก็จะสามารถเร่งให้การผลิตไฟฟ้าสะอาดขยายตัว พร้อมทั้งดึงดูดภาคธุรกิจที่ต้องการใช้พลังงานสะอาดสูงให้เข้ามาลงทุนด้วย
นโยบายส่งเสริม EV อย่างจริงจังของรัฐ ผ่านนโยบาย 30@30 และมาตรการ EV 3.5 ที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลให้มีการใช้ EV เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเกิดการลงทุนในสายการผลิต EV ภายในประเทศ หากภาครัฐสามารถบริหารจัดการอย่างเหมาะสม EV จะไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคขนส่ง แต่ยังสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้าที่มีสัดส่วนพลังงานสะอาดสูง ผ่านการชาร์จอัจฉริยะ (Smart Charging) และเทคโนโลยีจ่ายไฟกลับเข้าสู่โครงข่ายจาก EV (Vehicle-to-Grid: V2G)

เป้าหมายไทยชัดเจน แต่ต้องขับเคลื่อนให้ทันเวลา
กล่าวได้ว่าประเทศไทยนั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด โดยจากร่างแผน PDP 2024 ที่มีแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดเป็น 51% ภายในปี 2037 และเป็น 74% ภายในปี 2050 เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ แต่การที่จะบรรลุเป้าหมายได้นั้น ทุกภาคส่วนคงจะเดินแบบเดิมไม่ได้ เราจำเป็นต้องมีแผนที่ดี ควบคู่ไปกับการเร่งปรับแนวทางการทำงาน และระบบให้เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
ข้อเสนอเชิงนโยบาย: เชื่อมแผนให้เป็นหนึ่ง เปิดพื้นที่ให้ทุกเสียงมีส่วนร่วม
เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเดินหน้าได้จริง และเกิดผลในทางปฏิบัติ ไทยจำเป็นต้องเร่งดำเนินการอย่างน้อยใน 2 มิติสำคัญ ได้แก่
การเชื่อมโยงนโยบายพลังงานระหว่างหน่วยงานให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน ปัจจุบันการวางแผนด้านพลังงานของไทยยังแยกกันอยู่ตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันในทางนโยบาย โดยรัฐควรจัดตั้ง “ระบบบูรณาการหรือกลไกกลาง” เพื่อเชื่อมโยงนโยบาย โดยเฉพาะ 5 แผนหลัก ได้แก่ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) แผนพัฒนาพลังงานทดแทน (AEDP) แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP) แผนบริหารจัดการน้ำมัน และ แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ โดยแผนทั้งหมดต้องมีเป้าหมายร่วมกันในระยะยาว เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีเป้าหมายร่วมกันในการนำไปปฏิบัติ พร้อมตอบสนองต่อบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง การเปลี่ยนผ่านพลังงานจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนมีโอกาสมีส่วนร่วม ไม่ใช่เพียงการรับฟังความคิดเห็น แต่ต้องเป็นกระบวนการที่เปิดกว้างให้เอกชน และประชาชนร่วมออกแบบนโยบาย ตั้งแต่การประเมินผลกระทบ ไปจนถึงการเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งระบบ การสร้างกลไกการมีส่วนร่วมจะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านไม่ใช่ภาระของรัฐฝ่ายเดียว แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งสังคม และทำให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
พลังงานสะอาดคือโอกาส ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม
อนาคตพลังงานสะอาดของไทยมีทั้งโอกาสและความท้าทาย การเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด ไม่ใช่เพียงทางรอดด้านสิ่งแวดล้อม แต่คือกลไกสำคัญที่ช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ในอนาคต ความชัดเจนของเป้าหมาย นโยบายที่สอดคล้องกัน และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสำคัญที่นำพาประเทศไทยไปสู่ระบบพลังงานที่เป็นธรรม มั่นคง และยั่งยืน
“บทความชิ้นนี้จัดทำภายใต้โครงการหลักสูตรผู้นํานโยบายด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน พ.ศ. 2567”
บทความโดย ดร. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ อรรณพ แจ้วิสอน กรณ์ อำนวยพาณิชย์ และชาคร เลิศนิทัศน์
Comments