ความเชื่อ หลักวิชา และตัวตนของ “อัมมาร สยามวาลา”
- Close Up Thailand
- 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา
- ยาว 1 นาที
ทีดีอาร์ไอ ชวนอ่านบทสัมภาษณ์ดร.อาณัติ อาภาภิรม ประธานทีดีอาร์ไอคนแรก ต่อ "ความเชื่อ หลักวิชา และตัวตนของดร.อัมมาร" เนื่องในโอกาสที่ทีดีอาร์ไอจัดงานรำลึก "มรดกความคิด อัมมาร สยามวาลา" ในวันที่ 15 ธันวาคม2568
บทสัมภาษณ์ ดร.อาณัติ อาภาภิรม ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยคนที่หนึ่ง ถึง “ดร.อัมมาร สยามวาลา” นักวิจัยทีดีอาร์ไอคนแรก

“อ.อัมมารเกิดเพื่อมาเป็นนักวิชาการทำนโยบายสาธารณะที่แท้จริง หาตัวจับยาก เกิดเป็นบุคคลตัวอย่าง เกิดมาเพื่อเป็นที่รักและเคารพของผู้ร่วมงาน เกิดมาเป็นที่ภูมิใจของครอบครัว เกิดมาคู่กับทีดีอาร์ไอ สร้างค่าให้ทีดีไอมาถึงทุกวันนี้” …คือถ้อยคำของดร.อาณัติ อาภาภิรม อดีตประธานสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เมื่อถูกถามถึงความทรงจำที่มีต่อดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ ทีดีอาร์ไอ
ดร.อาณัติ เป็นประธานสถาบันคนแรกของทีดีอาร์ไอ และมีบทบาทสำคัญในการชักชวนดร.อัมมารที่ในขณะนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเกษตรที่ International Food Policy Research Institute (IFPRI) ให้มาร่วมวางรากฐานก่อตั้งทีดีอาร์ไอ โดยเดินทางไปยังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พร้อมกับผู้ก่อตั้งทีดีอาร์ไอซึ่งก็คือ ดร.เสนาะ อูนากูล เลขาธิการสภาพัฒน์ในช่วงเวลานั้น
การทาบทามให้ดร.อัมมาร ให้มาร่วมงานกับทีดีอาร์ไอซึ่งเป็นสถาบันที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ อาจทำให้หลายคนมองว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในเวลานั้นอ.อัมมาร มีผลงานทางวิชาการเป็นที่ยอมในระดับนานาชาติ ชนิดที่เรียกว่า “หาตัวจับยาก” คนหนึ่ง แต่ทว่าดร.อาณัติ กลับใช้เวลาพูดคุยเพียง 5 นาทีเท่านั้น ก่อนที่ดร.อัมมารจะตอบตกลง
ดร.อาณัติ อธิบายสัญญาใจในครั้งนั้นว่าเป็นเพราะเราต่างมี “ความเชื่อ” เดียวกัน
“ตอนที่เราคุยกัน ไม่ได้คุยในเชิงธุรกิจ เราคุยกันในเรื่องความเชื่อ เชื่อเหมือนกันว่านโยบายสาธารณะของประเทศที่ดี ต้องเกิดจากข้อเท็จจริง มีข้อมูล มีการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง สิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนต่าง ๆ และเพื่อประโยชน์การพัฒนาประเทศชาติ” ดร.อาณัติเล่าย้อนความหลังกลับไปเมื่อ 41 ปีที่แล้ว
หลังการทาบทามสำเร็จ ดร.อัมมารเดินทางกลับประเทศไทย โดยเป็นนักวิจัยคนแรกของทีดีอาร์ไอ มุ่งศึกษางานวิจัยเศรษฐศาสตร์ภาคเกษตรสมัยใหม่ในประเทศไทย และเริ่มทำเรื่อง “พรีเมี่ยมข้าว” ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้ชาวนาไทยถูกกดราคาข้าวอย่างหนัก
“ที่อ.อัมมาร สนใจเรื่องการเกษตรเพราะเป็น Sector ที่น่าสงสารที่สุด เป็น Sector ที่ไม่มีอำนาจต่อรอง เป็นกลุ่มคนระดับล่าง คนที่มีอำนาจต่อรองเอาประโยชน์ไปหมด อาจารย์เล็งเห็นว่าพวกเขาเสียเปรียบ จำเป็นต้องหานโยบายช่วย แล้วต้องช่วยถูกวิธีด้วย นี่คืออ.อัมมาร”
ดร.อาณัติเปรียบว่า ดร.อัมมารมีความเป็น “สถาบัน” ในตัวเอง ที่ผู้คนในหลากหลายภาคส่วนให้ความเคารพนับถือ และด้วยเหตุนี้…คราใดที่ดร.อัมมาร มีข้อคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะต่อนโยบายของรัฐจึงได้รับความสนใจจากสาธารณะ และเกิด “Impact” ทุกครั้ง
และมีหลายครั้งที่ดร.อัมมารต้องถูกกดดันจากฝ่ายการเมืองที่เสียประโยชน์
“อ.อัมมารถูกกดดันตลอด แต่แกไม่รู้สึก คนด่าแกตลอดเพราะทำนโยบายที่เขาเสียประโยชน์ เห็นไม่เหมือนเขา แต่แกไม่สนใจ ด่าก็ด่าไป เชื่อแบบนี้ ข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้ ดีที่สุดต้องเป็นอย่างนี้ อาจารย์ไม่เคยไปบังคับให้ใครเชื่อ แต่คนเชื่ออาจารย์ แล้วคำพูดของอ.อัมมาร มีแต่คม ๆ สื่อมวลชนเอาของแกไปพาดหัวมากมาย”
มีคำพูดหนึ่งของดร.อัมมาร ที่ดร.อาณัติ บอกว่ายังจำได้แม่นยำจนถึงวันนี้ คือการเตือนสตินักวิชาการให้ทำงานโดยยึดหลักความจริง และประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
“อ.อัมมารพูดขึ้นมาว่า นักวิชาการเป็นกลางไม่ได้ เวลาทำนโยบายสาธารณะ มีคนได้ จะมีคนเสีย อย่าไปสนใจใครจะด่าเรา เพราะเวลาเขาเสียประโยชน์เขาต้องด่า แต่ว่าเราทำโดยไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เราทำโดยยึดหลักวิชาการ อิงความจริง อิงผลประโยชน์ของประเทศชาติที่เป็นภาพใหญ่เป็นหลัก เพราะฉะนั้นใครจะด่าเรา ใครจะไม่ชอบเรา มันช่วยไม่ได้”
ดร.อาณัติ บอกว่าผู้คนมักจะตั้งคำถามว่า “เราเกิดมาทำไม?” ซึ่งคำตอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
แต่ดร.อาณัติ มองว่า ดร.อัมมาร คือคนที่เกิดมาเป็นนักวิชาการแท้จริง แม้กระทั่งวายชนม์ไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งมรดกทางความคิด หลักวิชาการไว้ให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ซึ่งหากใครได้สนทนากับดร.อัมมารเป็นประจำจะเห็นว่าดร.อัมมารไม่เคยพูดถึงตัวเองแม้แต่คำเดียว แต่จะพูดถึงสาธารณชนเป็นหลัก
เหล่านี้คือ ความเชื่อ ความศรัทธา และหลักวิชา ที่สะท้อนถึงตัวตนขอนักวิจัยคนแรก ในสายตาของประธานทีดีอาร์ไอคนแรกที่มีต่อนักวิจัยคนแรกของสถาบัน
ที่มา.ขอบคุณบทความจากTDRI








.png)
ความคิดเห็น