ปรากฎการณ์หลัง"ม็อบอนุสาวรีย์ชัย"ผ่านไปสดๆ!ฝ่ายค้าน"ห่วงรัฐประหาร-ทำประเทศถอยหลัง" สนธิเลยฟาด"เท้ง-ไอติม"เด็กเมื่อวานซืน"
- Close Up Thailand
- 30 มิ.ย.
- ยาว 2 นาที


#ท่าทีพรรคประชาชน แกนนำฝ่ายค้านได้ออกมาประกาศจุดยืนทันที
"วันนี้เราต้องไม่ยินยอมให้ใครฉวยโอกาสเอาความผิดพลาดล้มเหลวของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล มาเปิดทางให้กับการรัฐประหารหรือการแก้ปัญหาการเมืองด้วยวิถีทางที่ขัดต่อประชาธิปไตย"
#ความเห็นของพรรคประชาชนต่อการชุมนุมของ “คณะรวมพลังแผ่นดิน”
การชุมนุมที่นำโดย “คณะรวมพลังแผ่นดิน” เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แม้จะมีข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการให้นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ลาออก และให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องตามปกติในระบอบประชาธิปไตย แต่ปรากฏว่า การปราศรัยของแกนนำบนเวทีบางคนกลับมีเนื้อหาที่เปิดทางให้กับการรัฐประหาร รวมถึงมีการปลุกปั่นกระแสชาตินิยมที่เกินเลยขอบเขต
.
พรรคประชาชนขอประณามการสร้างความชอบธรรมให้กับการรัฐประหาร ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง
.
พรรคประชาชนขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนที่สนับสนุนการชุมนุมด้วยความไม่พอใจต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ถอนตัวจากการสนับสนุนคณะรวมพลังแผ่นดินที่มีแกนนำบางคนมีเจตนาสนับสนุนการรัฐประหารและการแทรกแซงการเมืองด้วยวิถีทางนอกประชาธิปไตย เพราะแม้ว่าการแสดงออกทางการเมืองด้วยการชุมนุมประท้วงจะเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่พวกเราคนไทยต่างได้รับบทเรียนอย่างดีแล้วว่า 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศชาติและประชาชนบอบช้ำเสียหายอย่างไม่อาจประเมินได้ จากการรัฐประหาร 2 ครั้ง และปัญหาการเมืองของเราไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิถีทางนอกประชาธิปไตย ผลพวงจากการรัฐประหารกลับซ้ำเติมปัญหาการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล การคอรัปชั่น กระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว และการเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องและกลุ่มทุนผูกขาดเสียด้วยซ้ำ
.
วันนี้เราต้องไม่ยินยอมให้ใครฉวยโอกาสเอาความผิดพลาดล้มเหลวของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล มาเปิดทางให้กับการรัฐประหารหรือการแก้ปัญหาการเมืองด้วยวิถีทางที่ขัดต่อประชาธิปไตยอีก ซึ่งมีแต่จะก่อวิกฤตซ้ำซ้อนทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น
.
พรรคประชาชนขอยืนยันว่า ทางออกจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ที่ดีที่สุด คือหนทางปกติตามระบบรัฐสภา นั่นคือการยุบสภา เลือกตั้งใหม่ คืนอำนาจให้แก่ประชาชน เพื่อให้อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นผู้กำหนดอนาคตของบ้านเมืองด้วยตนเองว่าต้องการผู้นำและรัฐบาลใหม่แบบไหน"
ต่อมา ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน ออกหนังสือเวียนถึงสมาชิกพรรคทุกท่าน .

สืบเนื่องจากสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และสถานการณ์ทางการเมืองและการชุมนุมที่เกี่ยวเนื่องกัน จึงขอสื่อสารเน้นย้ำไปยังสมาชิกพรรคทุกท่าน เพื่อกำชับให้ทราบและปฏิบัติตนสอดคล้องกับจุดยืนทางอุดมการณ์และแนวนโยบายพรรค โดยแบ่งเป็น 3 หัวข้อหลัก ดังนี้.
“ปกป้องสิทธิเสรีภาพตามครรลอง” : สมาชิกพรรคจะต้องปกป้องและยืนยันสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนตามครรลองประชาธิปไตย ได้แก่.
1.ยืนยันสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล กองทัพ พรรคการเมือง ผู้แทนราษฎร ฯลฯ นั้นสามารถกระทำได้
2.ข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา ถือเป็นข้อเสนอที่อยู่ในครรลองประชาธิปไตย
3.การชุมนุมของประชาชนถือเป็นสิทธิเสรีภาพพื้นฐานในการแสดงออก.
“ต้องห้ามข้ามเส้น” : สมาชิกพรรคต้องไม่สื่อสาร หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นการสนับสนุนสิ่งที่ขัดต่อจุดยืนทางอุดมการณ์และแนวนโยบายพรรค ได้แก่.
1.ต้องไม่สื่อสาร หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการยึดอำนาจ รัฐประหาร ซึ่งขัดหลักการประชาธิปไตย ผิดกฎหมาย และขัดรัฐธรรมนูญ
2.ต้องไม่สื่อสารกระทบต่อหลักการรัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพ อันถือเป็นหลักการรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
“เน้นย้ำจุดยืนข้อเสนอพรรค” : เดินหน้าใช้กลไกรัฐสภาในการแก้ไขปัญหาประเทศ พร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภา คืนอำนาจตัดสินใจให้ประชาชนกำหนดทิศทางประเทศ.
หวังว่าสมาชิกพรรคทุกท่านจะเป็นส่วนสำคัญในการธำรงและส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศไทยให้เจริญงอกงามต่อไป
ศรายุทธิ์ ใจหลัก
เลขาธิการพรรคประชาชน
‘โฆษกเพื่อไทย’ รับไม่ได้แกนนำม็อบปลุกระดมเรียกร้อง ‘รัฐประหาร’ ชี้ 20 ปีที่ผ่านมาเสียหายประเมินไม่ได้
.

วันที่ 29 มิถุนายน 2568 นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์การชุมนุมเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่า การชุมนุมเป็นการแสดงออกเป็นสิทธิตามกฎหมาย และเป็นการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยปราศจากความรุนแรง ปราศจากอาวุธ และชอบด้วยกฎหมาย แต่สิ่งที่พรรคเป็นห่วง คือเนื้อหาการปลุกระดมของแกนนำบางท่านที่มีการพูดถึงการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยไม่อาจจะรับได้ แต่ขอเรียกร้องไปยังพี่น้องประชาชนที่รักในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ว่าพวกเราจะไม่เดินทางไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารอีกแล้ว
.
นายดนุพร กล่าวว่า ทั้งนี้ 20 ปีที่ผ่านมาพี่น้องประชาชนหลายคนมีความเจ็บปวดอย่างประเมินค่าไม่ได้ มีการสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมากกับการเรียกร้อง และขัดขวางการรัฐประหาร เพราะฉะนั้นขอเรียนว่าทางพรรคไม่อาจรับได้เรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร
.
นอกจากนี้ยังมี สส.เพื่อไทยที่ได้ออกมาแสดงจุดยืนต่อการรัฐประหารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ อาทิ นางสาวลินธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ กล่าวว่า การแสดงออกทางการเมืองเป็นสิทธิ์ของประชาชนแต่ไม่ว่าจะคิดเห็นต่างกันเพียงใด สิ่งหนึ่งที่ต้องยืนหยัดร่วมกันคือ ไม่เปิดทางให้รัฐประหาร
.
ด้านนายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ กล่าวว่า ‘การเมือง ต้องแก้ด้วย การเมือง’ อย่าเปิดทางให้อำนาจพิเศษใดอื่น
.
ด้าน นางสาวชญาภา สินธุไพร โพสต์ข้อความในเอ็กซ์ @BeerChayapa ว่า บทเรียนในประวัติศาสตร์ สะท้อนให้เห็นแล้วว่า #รัฐประหาร “ไม่ใช่” ทางออกของประเทศ ในทางตรงกันข้าม การทำรัฐประหารคือ นำประเทศไปสู่ทางตัน บ่อนทำลายประชาธิปไตย พาประเทศถดถอยล้าหลัง!
.
หยุดเปิดประตูต้อนรับรัฐประหาร หยุดปลุกปั่นสร้างสถานการณ์ที่จะนำไปสู่สูญญากาศทางการเมือง ซึ่งมีแต่จะซ้ำเติมวิกฤตประเทศมากขึ้น การแก้ปัญหาการเมืองควรเป็นไปตามกลไกวิถีทางประชาธิปไตย
กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม นักกฎหมายคนสำคัญ หังได้ติดตามเวทีม็อบ ได้สะท้อนมุมมองน่าสนใจ

"ออกจากวังวนเดิมไม่ได้เสียที?”
ที่น่าแปลกใจคือ ทุกครั้งที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลง เรามักยกคำว่า “ประชาธิปไตย” และ “รัฐธรรมนูญ” ขึ้นมาเป็นธงนำ แต่กลับไม่ค่อยพูดถึงอีกสองคำที่สำคัญไม่แพ้กัน—“ธรรมาภิบาล” (governance) และ “หลักนิติธรรม” (rule of law)
สองคำนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การบริหารที่มีประสิทธิภาพ หรือการเคารพกฎหมายในระดับบุคคล แต่คือโครงสร้างที่ทำให้ประชาธิปไตย “ทำงานได้จริง”
“ธรรมาภิบาล” คือการใช้อำนาจอย่างโปร่งใส มีความรับผิดชอบ และเปิดรับเสียงของประชาชน
“หลักนิติธรรม” คือการที่กฎหมายควบคุมอำนาจ ไม่ใช่ปล่อยให้อำนาจควบคุมกฎหมาย
ทั้งสามคำ—“ประชาธิปไตย” “ธรรมาภิบาล” และ “หลักนิติธรรม”—จึงไม่ควรถูกแยกจากกัน แต่ควรถูกนำมาทำความเข้าใจร่วมกันในฐานะโครงสร้างเดียวกัน ที่ทำให้ประเทศก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืน
และโครงสร้างนี้ จะไม่มีวันเกิดขึ้น หากเรายังไม่มี “พลเมือง” ที่เข้าใจระบบเหล่านี้อย่างแท้จริง
นี่คือเหตุผลที่ผมเชื่อว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่กลับถูกมองข้ามในนโยบายสาธารณะมาโดยตลอด คือ “Civic Education” หรือที่เรียกกันว่า “การเรียนรู้เพื่อความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย”
ในหลายประเทศอย่างฟินแลนด์ เยอรมนี เกาหลีใต้ หรือไต้หวัน
”Civic Education“ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนหรือวิชาสังคม แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมของพลเมือง พวกเขาเรียนรู้ตั้งแต่เด็กว่าจะตั้งคำถามกับอำนาจอย่างไร รับฟังความเห็นต่างอย่างไร และมีหน้าที่ต่อส่วนรวมอย่างไร
ต่างจากประเทศไทย ซึ่งยังขาดกระบวนการเรียนรู้เช่นนี้อย่างเป็นระบบ—ทั้งในโรงเรียน สื่อ หรือเวทีสาธารณะ
เราจึงควรเริ่มต้นสร้าง “พื้นที่เรียนรู้” ที่ทำให้คนไทยทุกช่วงวัยเข้าใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ในตำราเรียน ไม่ใช่แค่สำหรับเยาวชน แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต ของคนทั้งสังคม
ตั้งแต่นักเรียน คนทำงาน ข้าราชการ นักการเมือง ผู้มีอำนาจระดับสูง รวมถึงนักประชาธิปไตยที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนท้องถนนด้วย
ทั้งนี้ เพื่อให้คนไทยทุกคนตระหนักว่าบทบาทของตนในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่ “ผู้ถูกปกครอง” แต่คือ “เจ้าของอำนาจอธิปไตย” อย่างแท้จริง
“Civic Education” ไม่ได้มีไว้เพื่อให้เราจดจำคำว่า “ประชาธิปไตย” แต่มันทำให้เราเข้าใจว่า:
– สิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของพลเมือง คือรากฐานของอำนาจในระบอบประชาธิปไตย และมาพร้อมความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
– อำนาจของรัฐมาจากประชาชน และจะมีความชอบธรรมได้ ก็ต่อเมื่อถูกใช้อย่างโปร่งใส รับผิดชอบได้ และอยู่ภายใต้การตรวจสอบ
– ประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ต้องตั้งอยู่บนโครงสร้างที่มีระบบถ่วงดุล เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม และไม่ปล่อยให้ใครใช้ดุลพินิจโดยไร้ขอบเขต
– และ การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราร่วมกันสร้างระบบที่ผู้มีอำนาจต้องรับผิดชอบต่อประชาชน (ธรรมาภิบาล) และอยู่ภายใต้กฎหมายที่เสมอภาคสำหรับทุกคน (หลักนิติธรรม)—ไม่ใช่การรอให้ “ใครสักคน” มาแก้ปัญหาแทน
การชุมนุมที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เป็นสัญญาณของพลังที่กำลังผลักดันเพื่ออนาคตที่ดีของประเทศ แต่ควรระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่นำไปสู่ “การรัฐประหาร” ซึ่งถูกพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน
ประชาธิปไตยที่ไม่มีระบบตรวจสอบ ไม่มีธรรมาภิบาล และไม่มีหลักนิติธรรม ก็ไม่ต่างจากเวทีที่เปลี่ยนตัวแสดง แต่บทเดิมไม่เคยถูกเขียนใหม่
ประเทศไทยจะต้องเสียโอกาสอีกกี่ครั้ง ก่อนที่เราจะยอมรับตรงๆ ว่า “วิธีเดิมๆ” ไม่เคยช่วยแก้ปัญหาอย่างแท้จริง?
“Civic Education” อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่มันคือ “จุดเริ่มต้นที่ขาดหาย” ไปตลอดหลายทศวรรษ เพราะหากเราไม่เริ่มต้นจาก “ความเข้าใจ” เราก็ไม่มีทางไปถึง “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” ที่ยั่งยืนได้เลย
สิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่แค่สอนให้คนรู้จักสิทธิของตน แต่คือการสร้างความเข้าใจร่วมในระดับสังคมว่า:
– ประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ ต้องเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม
– ผู้มีอำนาจต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบ
– และกฎหมายต้องไม่ใช่เครื่องมือของคนใดคนหนึ่ง
“ธรรมาภิบาล” ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิคการบริหาร แต่คือวัฒนธรรมของการใช้อำนาจอย่างรับผิดชอบ
“หลักนิติธรรม” ก็ไม่ใช่เพียงบทบัญญัติในกฎหมาย แต่คือกลไกที่ยืนยันว่า “ไม่มีใครอยู่เหนือการตรวจสอบ”
ประเทศไทยไม่ขาดเสียงเรียกร้อง ไม่ขาดพลังของประชาชน แต่เราขาด “รากความเข้าใจ” ที่จะทำให้พลังนั้นเปลี่ยนเป็นระบบที่ยั่งยืน
เราไม่ต้องการแค่ “รัฐบาลใหม่” หรือ “ผู้นำใหม่”
เราต้องการ ระบบความเข้าใจใหม่ ที่ประชาธิปไตย ธรรมาภิบาล และหลักนิติธรรม ทำงานร่วมกันได้จริง
เราจะไม่สามารถเปลี่ยน “ผลลัพธ์”
หากเรายังใช้ “วิธีการเดิม”
ประเทศไทยยังคงเดินเป็นวงกลม
กลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้ง…
หากเราไม่เปลี่ยนแนวทาง
ปลายทาง…ก็จะเป็นที่เดิม
กิตติพงษ์ กิตยารักษ์
29 มิถุนายน 2568

ฟัง"เต้น"ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เป็นไปตามคาดว่าคนมาม็อบจะเยอะกว่าทุกครั้งตั้งแต่ยุครัฐบาลเศรษฐา เพราะเห็นความเคลื่อนไหวเชิงเครือข่าย และการทำงานแนวร่วมในทุกภูมิภาค รวมทั้งกลุ่มพลังทางสังคมต่างๆ
ในรอบ 20 ปีนี้การขับเคลื่อนม็อบจำนวนมากต่อเนื่องได้แรมเดือนแรมปี ต้องมีพรรคการเมืองเข้าร่วมอย่างมีนัยสำคัญ ม็อบนี้เริ่มนับหนึ่งและเดินต่อแน่ๆ อีกไม่นานน่าจะเห็นภาพพรรคการเมืองชัดขึ้น ถ้าไม่เห็นจะถือเป็นเรื่องใหม่และแปลกมาก ทั้งต่อการเมืองไทยและต่อกลุ่มแกนนำเอง
พลังหลักเป็นมวลชนฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เคยเคลื่อนไหวในนามกลุ่มพันธมิตรฯและกปปส. จะมีนอกเเหนือบ้างก็เป็นส่วนน้อย ไม่ค่อยเห็นคนหนุ่มสาว ภาพรวมเป็นวัยกลางคนไปถึงสูงอายุ
ข้อเรียกร้องและเนื้อหาการปราศรัยทำให้เห็นจุดหมายแต่น่ากังวลเรื่องปลายทาง
จุดหมายคือล้มรัฐบาล ปลุกกระแสชาตินิยมกดดันให้นายกฯแพทองธารลาออก บีบพรรคร่วมถอนตัว แต่ออกแล้วก็คงไม่จบ เพราะดูเหมือนปลายทางไม่ใช่การมีรัฐบาลใหม่ในสภาชุดนี้ ถ้านายกฯลาออก พรรคเพื่อไทยแกนนำรัฐบาลยังมีแคนดิเดตนายกฯอีกคนคือนายชัยเกษม เชื่อว่าแกนนำม็อบก็ไม่ยอมรับ การชุมนุมต่อต้านยังมีต่อ
เอาคนอื่นมาเป็นนายกฯก็ไม่แน่ว่าจะได้ เพราะแกนนำหลักพูดชัดว่าถ้าทหารจะทำอะไร(หมายถึงรัฐประหาร)ก็ไม่ขัด บ้างก็ว่าต้องร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเอง บ้างก็จะปฏิวัติโดยไม่เกี่ยวกับนักการเมือง
สัญญาณแบบนี้ปลายทางไม่ใช่วิถีประชาธิปไตย แต่เป็นการโยนโจทย์สำคัญสู่สังคมไทย ว่ากลุ่มนี้ทำทางยึดอำนาจมาแล้ว 2 รอบ สนใจทำแฮททริคหรือไม่
ผมยังยืนยันเช่นเดิมว่าสถานการณ์นี้ยุบสภาไม่ใช่ทางออก
ถ้าบอกว่าดึงช้าไปไม่ยอมยุบจะนำประเทศเข้าสู่ทางตัน ก็ต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์ระยะใกล้
ยุครัฐบาลไทยรักไทย มีการชุมนุมเปิดตัวกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 ต่อมารัฐบาลทักษิณประกาศยุบสภาในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีเดียวกัน
นายสุเทพนัดเป่านกหวีดต้านพรบ.นิรโทษกรรมครั้งแรกวันที่ 31 ตุลาคม 2556 หลังจากนั้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยุบสภา 9 ธันวาคม
ทักษิณยุบสภาใน 15 วัน แต่มีการสร้างสถานการณ์ต่อเนื่องอีก 7 เดือน จนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน
ยิ่งลักษณ์ใช้เวลา 1 เดือนกับอีก 9 วันยุบสภา แต่เรื่องไม่จบ คนกลุ่มเดียวกันเคลื่อนไหวกดดัน ขัดขวางการเลือกตั้ง 5 เดือนผ่านไปคสช.ก็ยึดอำนาจในวันที่ 22 พฤษภาคม
ผมเคารพสิทธิเสรีภาพและไม่ได้กล่าวร้ายคณะแกนนำ แต่ยกเรื่องจริงมาพูด เพราะฟังการปราศรัยและดูองค์ประกอบวันนี้มันให้ความรู้สึกคล้ายวันเหล่านั้น
ความไม่พอใจในตัวนายกฯและรัฐบาลมีอยู่จริง แต่ประชาชนที่สนันสนุนก็มีอยู่ด้วย การแสดงออก กดดัน หรือ ขับไล่ เป็นสิทธิ์ที่ทำได้ภายใต้กรอบกฎหมาย แต่การตัดสินใจก็เป็นสิทธิ์ขาดอำนาจเต็มของนายกฯ ซึ่งทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับเช่นกัน
ผมไม่เคยคิดว่าคนที่มาชุมนุมเป็นปฏิปักษ์ และไม่เชื่อว่าจะไปไกลถึงขั้นเห็นด้วยกับรัฐประหารทั้งหมด ในรอบกว่า 20 ปีที่ผ่านมา กลุ่มพลังที่เรียกร้องรัฐประหารไม่เคยเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้ง จะกล่าวอ้างว่าเป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่ไม่ได้
ความเห็นผมคือวันนี้ต้องสามัคคีประเทศไทยเพื่อรับมือภัยคุกคามจากภายนอก ถ้ารัฐบาลล้มจะกลายเป็นเกมฝ่ายประเทศเพื่อนบ้านล้มเราได้ สถานการณ์จะยิ่งเสียหาย
มีคนบอกว่าช้าไปจะถูกยึด ต้องยืนหลักให้ชัดว่ารัฐประหารคือวิธีการนอกระบบ ไม่มีเงื่อนไขใดๆให้เกิดขึ้น เที่ยวนี้ถ้าจะยึดก็ให้ยึดทั้งที่ยังเป็นรัฐบาลเต็มตัวไม่ใช่รักษาการณ์ ผมว่าจะยึดยากกว่าถ้าเทียบกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา
เรื่องนี้ไม่ได้กล่าวหาหรือกดดันกองทัพ เพราะท่าทีผู้นำเหล่าทัพยังไม่มีอะไรน่ากังวล แต่ผมพูดตามเนื้อผ้า เป้าหมายคือรักษาหลักการประชาธิปไตย
ช่วยกันรักษาเสถียรภาพทางการเมือง ปกป้องอธิปไตยของประเทศ สร้างสันติภาพให้ประชาชนก่อน อายุขัยทางการเมืองของรัฐบาลนี้จะอย่างไรก็ไม่เกิน 2 ปี หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ให้กลไกประชาธิปไตยทำงานของมัน
พรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ถ้ายังหันหน้าเข้าหากันไม่ได้ก็ต้องเอาหลังพิงกัน ปฏิเสธอำนาจนอกระบบ ไม่ยอมรับการเคลื่อนไหวเพื่อเปิดทางให้รัฐประหาร เพื่อรักษาไว้ทั้งเอกราชและอำนาจประชาชน
"สนธิ ลิ้มทองกุล"พูดในสนธิเล่าเรื่อง 30-6-68 ฟาด"เต้น-ณัฐวุฒิ จอมสถุน" ส่วน"เท้ง-ไอติม"โดน.ฟาดแรงๆ "ไอ้เด็กเมื่อวานซืน"
โดยนายสนธิถ่ายทอดประสบการณ์ และสะท้อนเรื่องการชุมนุม “รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา รวมถึงวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองนับจากวันนี้เป็นต้นไป
.
ส่วนพรรคภูิมใจไทยได้โพสต์ แสดงกราฟทางออกปัญหา3ทาง

ความคิดเห็น